คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2523
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 45 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 74, 79 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 119 วรรคหนึ่ง
ผู้ร้องมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไป ถือได้ว่าบ้านแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหนังสือทวงหนี้และหนังสือเตือนให้ผู้ร้องชำระหนี้ไปที่บ้านแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นการชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74,79 แล้ว
ผู้ร้องได้รับหนังสือทวงหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยชอบแล้วแต่มิได้ปฏิเสธหนี้ดังกล่าวภายในกำหนด ถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ตามจำนวนที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 119 วรรคแรก
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นหนี้เงินค่าหุ้นของลูกหนี้ และมีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระหนี้ให้กองทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลาย ผู้ร้องเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบ ผู้ร้องมิได้รับหนังสือทวงหนี้และหนังสือเตือนให้ผู้ร้องชำระหนี้ เพราะผู้ร้องมิได้มีภูมิลำเนาและอาศัยอยู่ที่บ้านที่ส่งหนังสือเตือนให้ชำระหนี้ ผู้ร้องจึงไม่มีโอกาสคัดค้านการทวงหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทั้งหุ้นที่ผู้ร้องรับโอนมาก็ได้ชำระค่าหุ้นเต็มราคาแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 41/1ซอยสายลม 2 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เพียงแห่งเดียวการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหนังสือทวงหนี้และหนังสือเตือนให้ผู้ร้องชำระหนี้ไปที่บ้านเลขที่ 41 ซึ่งมิใช่ถิ่นที่อยู่อันเป็นภูมิลำเนาของผู้ร้อง เป็นการมิชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่าทางพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความว่า เดิมผู้ร้องอาศัยและมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 41 ซึ่งเป็นบ้านของนายคุนบิดาผู้ร้องและตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัททองสุทธิ จำกัด ลงวันที่ 16 มิถุนายน2509 ตามเอกสารหมาย ค.2 ระบุว่าผู้ร้องมีที่อยู่บ้านเลขที่ 41 ทั้งบ้านเลขที่ 41/1 ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของและได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่นั้นก็ได้ความว่าเป็นบ้านที่นายคุนบิดาผู้ร้องซื้อไว้อยู่ติดกับบ้านเลขที่ 41 ห่างกันประมาณ50 เมตร และอยู่ในบริเวณรั้วเดียวกัน นายคุนซึ่งอยู่บ้านเลขที่ 41 ก็มีรายชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเลขที่ 41/1 ด้วย นอกจากนี้การส่งหนังสือทวงหนี้ได้ความจากรายงานของเจ้าพนักงานผู้ส่งหนังสือตามเอกสารหมาย ค.4 ว่า ไปส่งครั้งแรกไม่มีผู้รับไปส่งครั้งที่สองเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2520 ผู้ร้องไม่อยู่บ้านไปกิจธุระข้างนอกเจ้าพนักงานจึงปิดหนังสือไว้ที่บ้าน ดังนี้ แสดงว่าผู้ร้องมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งสับเปลี่ยนกันไป ถือได้ว่าทั้งบ้านเลขที่ 41 และบ้านเลขที่ 41/1แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 45 ฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งหนังสือทวงหนี้และหนังสือเตือนให้ผู้ร้องชำระหนี้ไปที่บ้านเลขที่ 41 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 74, 79 แล้ว
ส่วนข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่า หุ้นของบริษัททองสุทธิ จำกัด ลูกหนี้ที่ผู้ร้องเป็นผู้ถือได้ชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่าแล้วนั้น เมื่อฟังว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งหนังสือทวงหนี้ไปยังผู้ร้องชอบด้วยกฎหมาย โดยให้ผู้ร้องชำระค่าหุ้นบริษัทลูกหนี้ที่ยังค้างชำระและในหนังสือทวงหนี้ได้แจ้งด้วยว่า ถ้าผู้ร้องจะปฏิเสธหนี้ที่ทวงถามให้ผู้ร้องปฏิเสธหนี้ภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือทวงหนี้ แต่ผู้ร้องมิได้ปฏิเสธหนี้ดังกล่าวภายในกำหนดจึงถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้กองทรัพย์สินของบริษัทลูกหนี้อยู่ตามจำนวนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือแจ้งไปเป็นการเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 119 วรรคแรก ซึ่งกรณีเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิจะร้องคัดค้านต่อศาลว่าผู้ร้องไม่เป็นหนี้โดยอ้างเหตุว่าหุ้นที่ผู้ร้องเป็นผู้ถือได้ชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่าแล้วได้เพราะตามกฎหมายได้บัญญัติให้ถือว่าผู้ร้องเป็นหนี้เป็นการเด็ดขาดแล้ว ดังนี้ฎีกาของผู้ร้องที่โต้เถียงเกี่ยวกับหนี้ค่าหุ้นศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องชอบแล้ว
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัทธนาคารไทยพัฒนา จำกัด จำเลย - บริษัททองสุทธิ จำกัด ผู้ร้อง - นายชม คุนผลิน
ชื่อองค์คณะ ภิญโญ ธีรนิติ ภักดิ์ บุณย์ภักดี อาจ ปัญญาดิลก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan