ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2528 จำเลยที่ 1ขอวงเงินสินเชื่อจากโจทก์ที่มีต่อธนาคารในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อซื้อสินค้าจากต่างประเทศในวงเงิน 3,500,000 บาทโดยจำเลยที่ 1 จะนำเอกสารในการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตมามอบให้โจทก์และมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 1 จะชำระราคาค่าสินค้าพร้อมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทุกประเภทที่โจทก์ได้ชำระให้ธนาคารไปก่อนให้แก่โจทก์ในวันที่จำเลยที่ 1 มารับเอกสารการออกสินค้าจากโจทก์ หากผิดนัด จำเลยที่ 1 ตกลงให้คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามหนังสือสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครเดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 โดยมีจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 ภายหลังทำสัญญาจำเลยที่ 1เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้หลายครั้งต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2529 จำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงยอมรับชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ จำนวน 3,547,468.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยผ่อนชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยเดือนละ 60,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2529ถึง 31 ธันวาคม 2529 และเดือนละ 120,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จภายหลังทำบันทึกข้อตกลง จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 9,999.50 บาท และชำระดอกเบี้ยจำนวน29,706.74 บาท คงค้างชำระยอดหนี้ต้นเงินถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,537,518.86 บาท และดอกเบี้ยถึงวันที่ 10 มกราคม 2532อีก 1,121,287.72 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวน 5,903,237.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี ของต้นเงิน 3,537,518.86 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเงินทุนให้กู้ยืมเงินหรือให้วงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาล เพราะนิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โดยไม่บรรยายข้อหาหรือฐานความผิดให้ชัดแจ้งว่าจำเลยจะต้องรับผิดฐานใดตามสัญญาใดภายหลังขอวงเงินสินเชื่อแล้วมีการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกี่ครั้ง สินค้าประเภทใด จำนวนและราคาเท่าใด เพื่อแสดงว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใดหนังสือสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตและบันทึกข้อตกลงไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืมเงินตามกฎหมายและบันทึกข้อตกลงไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่มาเป็นการกู้ยืมเงินโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้าใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไปก่อนจากลูกหนี้เกิน 2 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และ (7) ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 4ศาลอุทธรณ์อนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 5,903,237.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 3,537,518.86 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาข้อแรกว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำฟ้องโจทก์ไม่บรรยายข้อหาให้ชัดแจ้งถึงสภาพของนิติกรรมที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา คือให้จำเลยรับผิดตามสัญญาขอใช้วงเงินสินเชื่อหรือผิดสัญญากู้ยืม ซึ่งในช่องข้อหาความผิดโจทก์ระบุเพียงว่าผิดสัญญาโจทก์บรรยายคำฟ้องสองแง่ให้ศาลปรับเอาว่าข้อเท็จจริงที่บรรยายในคำฟ้องประกอบข้อเท็จจริงที่นำสืบชั้นพิจารณาว่าเป็นข้อหาฐานความผิดใดสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ไม่ชัดแจ้ง จำเลยไม่เข้าใจคำฟ้องโจทก์และโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้รับหรือใช้วงเงินสินเชื่อของโจทก์ไปกี่ครั้ง ครั้งละจำนวนเท่าใด โจทก์ชำระเงินให้แก่ธนาคารไปก่อนแล้วเป็นจำนวนเท่าใดนั้นเห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายถึงข้อหาว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจึงทำบันทึกข้อความยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคดีคือสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับโจทก์กับบันทึกข้อตกลงยอมรับชำระหนี้แก่โจทก์ และสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำไว้ต่อโจทก์ และคำขอบังคับคือโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระหนี้จำนวนตามฟ้องดังนี้ คำฟ้องโจทก์จึงได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นข้อหาแล้ว ส่วนในช่องข้อหาแม้โจทก์จะระบุข้อหาไว้ไม่ละเอียดเท่าที่ปรากฏตามเนื้อความในคำฟ้องก็ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำฟ้องของโจทก์เป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ส่วนข้อที่ว่าจำเลยได้รับหรือใช้วงเงินสินเชื่อของโจทก์ไปกี่ครั้ง ครั้งละจำนวนเท่าใดและโจทก์ชำระเงินให้แก่ธนาคารไปก่อนแล้วเป็นจำนวนเท่าใด เพื่อแสดงว่าได้รับเงินจากโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา คำฟ้องได้บรรยายมาเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจและต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ว่า โจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการให้วงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโจทก์ไม่ใช่ธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หรือเครดิตฟองซิเอร์ไม่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์หรือกิจการการเงินเพื่อสั่งซื้อสินค้าต่างประเทศโจทก์ดำเนินกิจการนอกวัตถุประสงค์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้และนิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า แม้ตามหนังสือรับรองความเป็นนิติบุคคลของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 จะมิได้ระบุวัตถุประสงค์ของโจทก์ว่าโจทก์อาจทำสัญญากับผู้สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดยยอมให้ผู้สั่งซื้อขอใช้วงเงินสินเชื่อในการที่โจทก์เป็นผู้ดำเนินการขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารในนามของโจทก์แทนผู้สั่งซื้อได้ก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 ให้การว่าจำเลยที่ 1 ทำหนังสือสัญญาขอวงเงินสินเชื่อตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 เพื่อค้ำประกันการที่โจทก์ทดรองเงินจ่ายไปก่อนแต่หนี้ตามวงเงินสินเชื่อได้มีการชำระหนี้แล้ว ดังนี้เท่ากับจำเลยที่ 1 รับว่าได้ทำสัญญาดังกล่าวไว้กับโจทก์จริงเพียงแต่อ้างว่าได้มีการชำระหนี้ตามสัญญานั้นแล้ว จึงไม่ต้องรับผิด ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูหนังสือสัญญาดังกล่าวตามเอกสารหมายจ.3 แล้วก็ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราห้างจำเลยที่ 1ไว้ในหนังสือสัญญาดังกล่าวในฐานะเป็นคู่สัญญา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศตามเอกสารหมาย จ.3 ไว้กับโจทก์จริง และเมื่อตรวจดูสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 ก็ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ได้เข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามสัญญาดังกล่าวและลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.4ทั้งบันทึกข้อตกลงยอมชำระหนี้แก่โจทก์ตามเอกสารหมายจ.5 และ จ.7 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ก็ลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราห้างจำเลยที่ 1 ไว้ ดังนี้ เมื่อโจทก์อ้างในคำฟ้องว่าได้ทวงถามให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.<4 จ.5 และ จ.7 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2เพิกเฉย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธินำคดีนี้มาฟ้องได้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่อาจโต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเพราะโจทก์ดำเนินกิจการตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 นอกขอบวัตถุประสงค์ได้ และสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 มิได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด

ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะสัญญาเอกสารหมาย จ.3 เป็นโมฆะเนื่องจากขัดต่อวัตถุประสงค์ของโจทก์ ดังนั้น บรรดาหนังสือค้ำประกันและหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.4 จ.5 และ จ.7 ที่ทำขึ้นตามเอกสารหมาย จ.3 ย่อมตกเป็นโมฆะไปด้วยนั้น เห็นว่าเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.3 มีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้ตกเป็นโมฆะ ดังนั้นสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4และหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ตามเอกสารหมายจ.5 และ จ.7 ซึ่งมีมูลหนี้ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 จึงสมบูรณ์และบังคับกันได้ตามสัญญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะจำเลยที่ 1 เป็นตัวการตั้งโจทก์เป็นตัวแทนสั่งสินค้าจากต่างประเทศ โดยมีข้อตกลงให้บำเหน็จแก่ตัวแทนคำฟ้องโจทก์เป็นเรื่องผู้ประกอบการค้าเรียกเงินที่ได้ออกทดรองไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) และ(7) เดิมมีอายุความ 2 ปี หนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.5 และ ข.7 เป็นการรับสภาพหนี้ตามสัญญาขอวงเงินสินเชื่อเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นสัญญาประธาน มีอายุความ 2 ปี โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันทำบันทึกนั้น เห็นว่า ตามสัญญาขอวงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศตามเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 1. ระบุว่าเอกสารการส่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเข้ามาให้ระบุชื่อของจำเลยที่ 1 ผู้สั่งซื้อในเอกสาร การเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตซึ่งใช้วงเงินของสัญญานี้ผู้สั่งซื้อจะเป็นผู้ติดต่อกับผู้ขายในต่างประเทศเรื่องการซื้อขายราคา และข้อตกลงต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อน แล้วผู้สั่งซื้อจึงมีหนังสือแจ้งมาให้โจทก์เป็นผู้ติดต่อกับธนาคารเพื่อขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารต่อไป ข้อ 2. ระบุว่า เมื่อสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่จำเลยที่ 1 ผู้สั่งซื้อขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตส่งมาถึงประเทศไทย ผู้สั่งซื้อจะเป็นผู้ดำเนินการนำสินค้าออกจากการท่าเรือ ท่าอากาศยานและด่านศุลกากรเอง ค่าภาษีนำเข้าและค่าใช้จ่ายต่าง ๆทุกประเภทในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตนี้ ผู้สั่งซื้อเป็นผู้ออกแต่ฝ่ายเดียว และข้อ 3. ระบุว่า ผู้สั่งซื้อตกลงให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่โจทก์ในการที่โจทก์ให้ใช้วงเงินสินเชื่อของโจทก์ที่มีอยู่กับธนาคารและรับเป็นผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารให้แก่ผู้สั่งซื้อ ผู้สั่งซื้อตกลงให้ค่าตอบแทนแก่โจทก์ในอัตรา 1 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าตามเลตเตอร์ออฟเครดิต ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศเองมิได้ตั้งโจทก์ให้เป็นตัวแทนในการสั่งสินค้าจากต่างประเทศแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 เพียงแต่ขอให้โจทก์เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับธนาคารและจำเลยที่ 1ขอให้วงเงินสินเชื่อในการเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวเงินสินเชื่อนั้นจึงมิใช่เงินทดรองที่โจทก์ออกไปก่อนในการเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและเงินค่าตอบแทน 1 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าเลตเตอร์ออฟเครดิตก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเงินค่าบำเหน็จในการเป็นตัวแทนหรือเป็นสินจ้างในการงานที่โจทก์รับทำ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงมิได้มีกำหนดอายุความ 2 ปี ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) และ (7) เดิมสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดอายุความไว้ โดยเฉพาะ จึงต้องถืออายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจขอให้บังคับตามสิทธิเรียกร้องดังกล่าวได้ เมื่อบันทึกรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมายจ.5 และ จ.7 ทำกันเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2529 และ10 กันยายน 2528 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่16 พฤษภาคม 2534 ยังไม่เกิน 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th