ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามและนางฉลอมสูงปานเขา (เผือกอ่อน) เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายแบนกับนางเคลือหรือเครือ สูงปานเขา เจ้ามรดกซึ่งถึงแก่ความตายโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก เจ้ามรดกมีทรัพย์มรดกเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 812 เนื้อที่ 22 ไร่ 2 งาน 53 ตารางวาในวันที่ 26 ตุลาคม 2535 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวใส่ชื่อเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยฉ้อฉลและไม่สุจริต ไม่ได้แบ่งปันให้โจทก์ทั้งสามซึ่งมีสิทธิที่จะได้รับมรดกในฐานะทายาทคนละ 1 ใน 7 ส่วนเนื้อที่ 3 ไร่ 93 ตารางวาขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 812 ระหว่างจำเลยทั้งสามและให้จำเลยทั้งสามแบ่งที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสามคนละ 3 ไร่ 93 ตารางวา หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม

จำเลยทั้งสามให้การว่า นางเคลือหรือเครือ สูงปานเขาเจ้ามรดกได้แบ่งที่ดินให้โจทก์ทั้งสามและบุตรทุกคน ตั้งแต่ก่อนที่ถึงแก่ความตายโดยเฉพาะที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ 22 ไร่ 2 งาน53 ตารางวา นั้น เจ้ามรดกแบ่งให้แก่นางฉลอม ปานสูงเขา(เผือกอ่อน) จำนวน 10 ไร่ ให้จำเลยที่ 3 จำนวน 12 ไร่ 2 งาน53 ตารางวา โดยได้มอบการครอบครองให้ แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นางฉลอมให้จำเลยที่ 3 ครอบครองที่ดินในส่วนของตนแทนเพื่อเลี้ยงดูบิดามารดา จำเลยที่ 3 จึงครอบครองที่พิพาททั้งแปลงตั้งแต่ได้รับการยกให้ ต่อมานางฉลอมขายที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมอบการครอบครองให้ ซึ่งเจ้ามรดกก็รู้เห็นยินยอมด้วย หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตกลงแบ่งที่พิพาทกันครอบครองตามสัดส่วนของแต่ละคน ต่อมาเจ้ามรดกไปยื่นเรื่องราวต่อเจ้าพนักงานที่ดินขอให้รังวัดแบ่งแยกที่พิพาทออกเป็น 2 แปลง เพื่อจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3แต่ก่อนที่เจ้าพนักงานที่ดินจะจดทะเบียนแบ่งแยกให้ เจ้ามรดกถึงแก่ความตายไปเสียก่อน จำเลยที่ 2 และที่ 3 คงครอบครองที่พิพาทตามส่วนแบ่งต่อมาโดยโจทก์ทั้งสามไม่คัดค้าน ที่พิพาทไม่ใช่มรดกของเจ้ามรดก โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิมาขอแบ่ง โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นมรดกแต่โจทก์ทั้งสามไม่ฟ้องร้องเอาส่วนแบ่งที่พิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นทรัพย์สินมรดกภายใน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความนอกจากนี้เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตายจึงไม่สามารถจดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามที่ได้ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกไว้จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องขอต่อศาลขอเป็นผู้จัดการมรดกเพื่อจะจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ต่อมาวันที่26 ตุลาคม 2535 จำเลยที่ 1 จึงจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลังจากนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ครอบครองที่พิพาทตามสัดส่วนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา แม้โจทก์จะถือว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของเจ้ามรดก แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3ได้แย่งการครอบครองที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มานานเกินกว่า 1 ปีแล้ว โจทก์ทั้งสามจึงสิ้นสิทธิฟ้องเอาคืนการครอบครองขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 812 ระหว่างจำเลยทั้งสามให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามคนละ 1 ใน 7 ส่วน เนื้อที่คนละ 3 ไร่ 93 ตารางวา หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม

จำเลยทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสามฎีกาข้อหาแรกว่า ที่พิพาทไม่ใช่มรดกของนางเคลือ เพราะนางเคลือได้ยกที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 และนางฉลอมแล้ว ต่อมานางฉลอมขายที่ดินให้จำเลยที่ 2 และศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงได้ว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางเคลือ

จำเลยทั้งสามฎีกาต่อไปว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อนางเคลือถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกและได้ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกลงในหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วปรากฏถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นทุกคน เมื่อจำเลยที่ 2และที่ 3 รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 ก็ต้องถือว่าครอบครองที่พิพาทแทนทายาทอื่นเช่นเดียวกัน ฉะนั้น โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิเรียกร้องให้แบ่งที่พิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1748 วรรคหนึ่ง

จำเลยทั้งสามฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์สิ้นสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครอง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนระหว่างจำเลยทั้งสามและให้จำเลยทั้งสามแบ่งที่พิพาทแก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสามให้การตอนแรกว่า ที่พิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกเป็นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งได้รับยกให้จากนางเคลือก่อนตาย แต่ให้การตอนหลังว่า หากที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกเมื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้แย่งการครอบครองที่พิพาท เช่นนี้เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งและขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง แต่เป็นคำให้การที่เข้าใจได้ว่าจำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิง ทั้งการแย่งการครอบครองจะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่น ดังนี้ คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ แต่ไม่มีประเด็นข้อพิพาทเรื่องแย่งการครอบครองอันเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามสิ้นสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองตามที่จำเลยทั้งสามฎีกา นอกจากนี้เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 183 วรรคสี่ (เดิม) หรือมาตรา 183 วรรคสาม (ใหม่) ว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทตามที่จำเลยทั้งสามฎีกา จำเลยทั้งสามก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน จำเลยทั้งสามจึงไม่สิทธิฎีกาว่าโจทก์สิ้นสิทธิฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th