คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 532/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 215, 225 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4 พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.2497 ม. 34, 45
ในคดีอาญา แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่มิได้หมายความว่าศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป เพราะไม่ว่าจำเลยจะให้การเช่นใดก็เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เรื่อยมาโดยไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด จนกระทั่งศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย โดยจำเลยพ้นโทษและได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ทำให้ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันนัดให้จำเลยไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการ จำเลยไม่สามารถไปรายงานตัวตามหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่ในวันเวลาและสถานที่ตามหมายนัดได้เพราะถูกคุมขังในเรือนจำกลางสมุทรปราการ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่ไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการตามหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง แม้ปัญหานี้จะมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วยกฟ้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 มาตรา 225 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 34, 45
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 34, 45 ลงโทษจำคุก 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นทหารกองเกินที่ได้รับการตรวจเลือกจากคณะกรรมการตรวจเลือกให้เข้ารับราชการทหารกองประจำการ แผนกทหารบก ผลัดที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2560 โดยนายอำเภอปรางค์กู่ซึ่งเป็นนายอำเภอท้องที่ที่รับการตรวจเลือกได้ออกหมายนัดให้จำเลยไปรายงานตัว ณ ที่ว่าการอำเภอปรางค์กู่ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 เวลากลางวัน เพื่อให้จำเลยเข้ารับราชการทหารกองประจำการ โดยจำเลยได้รับทราบหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่ดังกล่าวแล้ว แต่ครั้นเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 จำเลยไม่ได้ไปตามหมายนัด ในการพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (1) ประกอบมาตรา 225 ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานเพิ่มเติมในปัญหาว่า จำเลยถูกคุมขังอยู่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 และต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2565 หรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยอ้างในฎีกาว่า ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันนัดให้จำเลยไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการนั้น จำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำกลางสมุทรปราการ ทำให้จำเลยมิอาจออกจากเรือนจำกลางสมุทรปราการ เพื่อมาเข้ารับราชการทหารกองประจำการ แผนกทหารบก ผลัดที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2560 ได้ จำเลยมิได้จงใจหรือมีเจตนาที่จะหลบหลีกที่จะเข้ารับราชการทหารกองประจำการแต่อย่างใด เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่มิได้หมายความว่าศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป เพราะในคดีอาญาไม่ว่าจำเลยจะให้การเช่นใดก็เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาให้ได้ความว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษ ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานเพิ่มเติมในปัญหาว่า จำเลยถูกคุมขังอยู่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 และต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 4 มีนาคม 2565 หรือไม่ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการนัดสืบพยานโจทก์และจำเลยในปัญหาดังกล่าว เมื่อถึงกำหนดนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานเพิ่มเติม และศาลชั้นต้นได้ทำการสืบพยานจำเลย โดยจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานและโจทก์ไม่คัดค้านได้ความเพิ่มเติมว่า ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3110/2560 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ จำเลยถูกฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางสมุทรปราการในคดีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นมาโดยไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษและได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ตามหนังสือรับรองเรือนจำกลางสมุทรปราการในวันที่จำเลยได้รับการปล่อยตัวนั้น เจ้าพนักงานตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ มารับตัวจำเลยที่สถานีตำรวจภูธรคลองด่าน และนำตัวจำเลยมาฟ้องเป็นคดีนี้ (ฟ้องวันที่ 7 มีนาคม 2565) ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่จำเลยกล่าวอ้างในฎีกาว่า จำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2560 เรื่อยมาโดยไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด จนกระทั่งศาลจังหวัดสมุทรปราการมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย โดยจำเลยพ้นโทษและได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2565 ทำให้ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันนัดให้จำเลยไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการ จำเลยไม่สามารถไปรายงานตัวตามหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่ในวันเวลาและสถานที่ตามหมายนัดได้เพราะถูกคุมขังในเรือนจำกลางสมุทรปราการ พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่ไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการตามหมายนัดของนายอำเภอปรางค์กู่แต่อย่างใด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง แม้ปัญหานี้จะมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ตาม แต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแล้วยกฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 มาตรา 225 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยเช่นนี้แล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นอีก เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3117/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา