คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5483/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177, 183
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ย่อมแปลได้ว่าถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้กรรมสิทธิ์โจทก์ก็ยังเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่แต่ถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยเข้าเกณฑ์ได้กรรมสิทธิ์โจทก์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไปประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังกล่าวจึงคลอบคลุมไปถึงปัญหาที่ว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 504 และบ้านไม้เลขที่ 104 จากนายเป้า เดชสีห์ โจทก์อนุญาตให้จำเลยและบริวารเข้าอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านดังกล่าวตลอดมาโดยไม่คิดค่าตอบแทน ต่อมาโจทก์ต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินและบ้าน โจทก์ได้แจ้งความประสงค์และมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านและชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 16,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าว
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ครอบครองบ้านและที่ดินทั้งสองแปลงโดยสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีแล้ว ที่ดินและบ้านจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน2,000 บาทกับค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและบ้านดังกล่าว
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในวันชี้สองสถานข้อ 3. ว่า "จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่" ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนประเด็นดังกล่าว จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านไว้คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนดังกล่าวชอบหรือไม่ เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านพิพาทหรือไม่ ย่อมแปลได้ว่าถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ยังเป็นเจ้าของที่พิพาทอยู่ แต่ถ้าหากการครอบครองที่พิพาทของจำเลยเข้าเกณฑ์ได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของที่พิพาทอีกต่อไป ประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดดังกล่าวจึงครอบคลุมไปถึงปัญหาที่ว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ อันเป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามข้ออ้างและข้อเสียงในคำฟ้องและคำให้การนั่นเอง การกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น แต่เนื่องจากศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยและข้อเท็จจริงในปัญหาส่วนนี้มีปรากฎจากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วฟังว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง ฉ่ำ เดชสีห์ จำเลย - นาง มณี อ่อนระเบียบ
ชื่อองค์คณะ กนก พรรณรักษา พิมล สมานิตย์ สมชัย สายเชื้อ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan