ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นมารดานางยุ่งกี่ซึ่งสมรสกับผู้คัดค้านโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน และมีบุตรด้วยกัน ๓ คน นางยุ่งกี่ได้ฟ้องผู้คัดค้านขอแบ่งทรัพย์และเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและได้ทำสัญญาประนีประนอมกัน โดยผู้คัดค้านยอมให้เงินนางยุ่งกี่ ๑๕,๐๐๐ บาท นางยุ่งกี่ได้ถึงแก่กรรมโดยมิได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้ จึงไม่มีผู้รับเงินตามสัญญาประนีประนอมได้ ขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางยุ่งกี่
ผู้คัดค้านได้ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจจัดการทรัพย์สินแทนผู้เยาว์ซึ่งเป็นบุตรแต่ผู้เดียว ขอให้ยกคำร้อง และตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก
ศาลชั้นต้นสืบพยานคือตัวผู้ร้องได้ ๑ ปาก และสั่งงดสืบพยานคู่ความ วินิจฉัยว่าผู้ร้องเป็นมารดาและทายาทของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้านเป็นสามีไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มิได้เป็นทายาทของผู้ตาย และไม่มีส่วนได้เสียในมรดกผู้ตาย จึงมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกนางยุ่งกี่ ให้ยกคำร้องคัดค้าน
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่
ผู้ร้องฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องเป็นมารดานางยุ่งกี่ผู้ตาย ผู้คัดค้านเป็นสามีผู้ตายโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้น มรดกของผู้ตายคือเงินส่วนที่ผู้ตายจะพึงได้รับตามสัญญาประนีประนอมยอมความชั้นศาลระหว่างผู้ตายกับผู้คัดค้าน สมควรจะให้ฝ่ายผู้ร้องหรือฝ่ายผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกนั้น จะต้องทราบถึงรายละเอียดแห่งความสัมพันธ์หรือพฤติการณ์ระหว่างผู้ตายกับผู้ร้องและผู้คัดค้าน ตลอดจนคุณสมบัติของแต่ละฝ่ายตามสมควร เพื่อจะได้เป็นแนวทางวินิจฉัยว่า ผู้ใดจะเหมาะสมกว่ากันในการเป็นผู้จัดการมรดก แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่ปรากฏในทางพิจารณา ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นด่วนสั่งงดสืบพยานของคู่ความเสียเมื่อสืบตัวผู้ร้องเพียงปากเดียวจึงยังไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาความ
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








