สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5545/2541

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5545/2541

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177 วรรคสาม

จำเลยให้การว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยลงลายมือชื่อโดยที่ยังไม่ได้กรอกข้อความโจทก์หรือตัวแทนโจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย จึงเป็นเอกสารปลอมขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งบังคับโจทก์คืนเอกสารดังกล่าวแก่จำเลย หากไม่คืนขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งทำลายเอกสารดังกล่าวโดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ซึ่งหากพิจารณา ได้ความตามคำให้การจำเลยดังกล่าว ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง จำเลยย่อมได้รับผลตามคำพิพากษาอยู่แล้ว กรณีไม่มีเหตุจำเป็น ที่จำเลยจะฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเอกสารหรือทำลายเอกสาร ดังกล่าวอีก จึงชอบที่ศาลจะไม่รับฟ้องแย้งของจำเลย

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน5,244,754.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปีจากต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่าหนังสือสัญญาค้ำประกันตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11 ถึง 13เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยที่ยังไม่ได้กรอกข้อความ ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์คืนเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11 ถึง 13 แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากไม่คืนขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งทำลายเอกสารดังกล่าว โดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 2 และที่ 3

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า คำขอท้ายฟ้องแย้งที่ขอให้ศาลยกฟ้องและสั่งให้โจทก์คืนเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 11 ถึง 13 ให้แก่จำเลยหรือให้ศาลทำลายเอกสารนั้น หาใช่คำขอบังคับของจำเลยไม่ คำขอส่วนนี้ศาลวินิจฉัยได้ตามฟ้องเดิมอยู่แล้ว จึงไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3

จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นฟ้องแย้งอันต้องรับไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2และที่ 3 ให้การว่า หนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อโดยที่ยังไม่ได้กรอกข้อความโจทก์หรือตัวแทนโจทก์กรอกข้อความลงในเอกสารดังกล่าวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นเอกสารปลอมขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งบังคับโจทก์คืนเอกสารดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 หากไม่คืนขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งทำลายเอกสารดังกล่าวโดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ซึ่งหากพิจารณาได้ความตามคำให้การจำเลยดังกล่าว ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมได้รับผลตามคำพิพากษาอยู่แล้ว กรณีไม่มีเหตุจำเป็นประการใดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเอกสารหรือทำลายเอกสารดังกล่าวอีก

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด ( มหาชน จำเลย - บริษัท เกษมสิริ จำกัด กับพวก

ชื่อองค์คณะ วิเทพ ศิริพากย์ บุญธรรม อยู่พุก ชวลิต ศรีสง่า

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th