ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 264, 265, 268 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นางจารุวรรณ ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคหนึ่ง, 265 (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม), 265 (เดิม)) เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 (ที่ถูก เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารกับฐานปลอมเอกสารสิทธิ เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละหนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 16 เดือน ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมสำหรับจำเลยที่ 1

โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความแล้ว

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 กรอกข้อความในคำขอกู้ยืมเงิน/หนังสือกู้ยืมเงิน/หนังสือสัญญาค้ำประกันโครงการช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบภาวะความเดือดร้อนด้านการเงิน หนังสือยินยอมให้หักเงินปันผล – เฉลี่ยคืนหรือเงินอื่นใดที่พึงจะได้รับจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. แล้วปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมในช่อง "ผู้กู้ยืมเงิน" และ "ผู้รับเงิน" กับกรอกข้อความในคำขอและหนังสือกู้เงินเพื่อเหตุฉุกเฉินแล้วปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมในช่อง "ผู้ขอกู้" และ "ผู้รับเงินกู้" และปลอมลายมือชื่อโจทก์ร่วมในการรับรองสำเนาบัตรสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. ของโจทก์ร่วม สำหรับความผิดฐานใช้เอกสารและเอกสารสิทธิปลอม ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 เนื่องจากโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกา

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกมีว่า ผู้เสียหายที่ 2 ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า ปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อโจทก์ร่วมปลอมในคำขอกู้ยืมเงิน/หนังสือกู้ยืมเงิน/หนังสือสัญญาค้ำประกันโครงการช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบภาวะความเดือดร้อนด้านการเงินพร้อมด้วยหนังสือยินยอมให้หักเงินปันผล – เฉลี่ยคืนหรือเงินอื่นใดที่พึงจะได้รับจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. กับคำขอและหนังสือกู้เงินเพื่อเหตุฉุกเฉิน และโจทก์ร่วมเป็นผู้รับเงินกู้ทั้งสองจำนวนไป โจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาโต้แย้ง ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงยุติไปตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 6 พฤติการณ์ของโจทก์ร่วมเช่นนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว โจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายซึ่งจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบที่จะแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้เสียหายที่ 2 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่แก้ไข จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปมีว่า สำเนาบัตรสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. ของผู้เสียหายที่ 2 เป็นเอกสารสิทธิดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการปลอมสำเนาบัตรสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. ของผู้เสียหายที่ 2 เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)) ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน แสดงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังคงวินิจฉัยว่าสำเนาบัตรสมาชิกสหกรณ์ดังกล่าวเป็นเพียงเอกสารที่ไม่ใช่เอกสารสิทธิ ไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นเอกสารสิทธิดังที่จำเลยที่ 2 เข้าใจในฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปมีว่า คำขอกู้ยืมเงิน/หนังสือกู้ยืมเงิน/หนังสือสัญญาค้ำประกันโครงการช่วยเหลือสมาชิกที่ประสบภาวะความเดือดร้อนด้านการเงินพร้อมด้วยหนังสือยินยอมให้หักเงินปันผล – เฉลี่ยคืนหรือเงินอื่นใดที่พึงจะได้รับจากสหกรณ์ออมทรัพย์ ค. กับคำขอและหนังสือกู้เงินเพื่อเหตุฉุกเฉิน เป็นเอกสารสิทธิหรือไม่ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะมิได้มีการยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง จำเลยที่ 2 ก็หยิบยกขึ้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 เห็นว่า แม้เอกสารการกู้ยืมเงิน 2 ชุดดังกล่าว จะใช้ถ้อยคำชื่อเอกสารทำนองว่าเป็นคำขอกู้ยืมเงิน และเนื้อหาของเอกสารระบุให้เข้าใจได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 จะต้องพิจารณาตามคำขอกู้เสียก่อนว่าจะอนุมัติให้กู้ยืมเงินหรือไม่ อันมีลักษณะเป็นคำเสนอตามที่จำเลยที่ 2 อ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ชื่อเอกสารดังกล่าวก็ระบุด้วยว่าเป็นหนังสือกู้ยืมเงินกับหนังสือกู้เงิน และเนื้อหาในเอกสารก็มีระบุไว้ชัดว่าผู้เสียหายที่ 2 ตกลงผูกพันเป็นผู้กู้และจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 ในฐานะผู้ให้กู้ ส่อแสดงว่าคู่สัญญาประสงค์ให้ใช้เอกสารฉบับเดียวกันนั้นเป็นทั้งคำขอกู้และสัญญากู้ยืมเงินในคราวเดียวเป็นหลักฐานแห่งการก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 2 โดยสภาพของเอกสารจึงถือได้ว่าเป็นเอกสารสิทธิตามบทนิยามของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9) แล้ว ส่วนในขณะที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อปลอมของผู้เสียหายที่ 2 ในคำขอกู้ยืมเงินและหนังสือกู้เงินดังกล่าว ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่ได้อนุมัติให้ผู้เสียหายที่ 2 กู้เงินดังที่จำเลยที่ 2 อ้างในฎีกา ก็หาทำให้เอกสารการกู้ยืมเงิน 2 ชุดดังกล่าว ไม่เป็นเอกสารสิทธิแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าเอกสารการกู้ยืมเงิน 2 ชุด ดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธินั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการต่อไปมีว่า การที่จำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ปลอมในเอกสารการกู้ยืมเงิน 2 ชุดดังกล่าวนั้น น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า การกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ ไม่ใช่ผลที่ต้องเกิดจากการกระทำ เพียงแต่น่าจะเกิดความเสียหาย แม้จะไม่เกิดขึ้นก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว และความเสียหายที่น่าจะเกิดนั้นอาจเป็นความเสียหายต่อทรัพย์สิน หรือความเสียหายอื่นใดอันกฎหมายมุ่งประสงค์จะคุ้มครอง หรือสามารถพิจารณาเห็นได้จากความคิดเห็นของวิญญูชนทั่วไปก็ได้ ในคดีนี้ ความถูกต้องแท้จริงของหลักฐานการกู้ยืมเงินซึ่งผู้เสียหายที่ 1 พึงได้รับการคุ้มครองเพื่อที่จะสามารถบังคับตามสัญญาเอาแก่ผู้กู้ได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เกี่ยวกับความสมบูรณ์ของสัญญา แม้ในขณะจำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ปลอม ยังไม่มีการนำเอกสารการกู้ยืมเงินไปแสดงต่อผู้เสียหายที่ 1 ก็ดี ผู้เสียหายที่ 2 มีเจตนากู้ยืมเงินจากผู้เสียหายที่ 1 ก็ดี จำเลยที่ 2 ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการกระทำดังกล่าวก็ดี ดังที่จำเลยที่ 2 อ้างในฎีกา แต่พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 2 น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายที่ 1 ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในประการสุดท้ายมีว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดเนื่องจากผู้เสียหายที่ 2 รู้เห็นในการให้จำเลยที่ 2 กรอกข้อความและลงลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ปลอมในเอกสารการกู้ยืมเงิน และผู้เสียหายที่ 2 ก็ได้รับเงินกู้จากผู้เสียหายที่ 1 ตามคำขอกู้ยืมเงิน ผู้เสียหายที่ 1 รับชำระหนี้จากผู้เสียหายที่ 2 ได้ด้วยการหักเงินปันผลที่ผู้เสียหายที่ 2 มีสิทธิได้รับ และหักเงินเดือนผู้เสียหายที่ 2 ในแต่ละเดือนเพื่อผ่อนชำระหนี้เป็นงวด ๆ ตามข้อตกลงในสัญญากู้ยืมแต่ละฉบับ จนครบถ้วนแล้ว พฤติการณ์กระทำความผิดของจำเลยที่ 2 จึงไม่ร้ายแรงมากนัก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้โอกาสจำเลยที่ 2 ได้กลับตนเป็นพลเมืองดีสักครั้งด้วยการรอการลงโทษจำคุกไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยที่ 2 หลาบจำ ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 อีกสถานหนึ่ง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2 กระทงละ 9,000 บาท รวม 2 กระทง อีกสถานหนึ่ง เมื่อลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามแล้ว คงปรับกระทงละ 6,000 บาท รวม 2 กระทง ปรับ 12,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกแล้ว คงจำคุก 8 เดือน และปรับ 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้เสียหายที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.152/2567

แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th