สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5738/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5738/2539

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/30, 193/34 (7)

โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการให้บริหารสินเชื่อบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์และสมาชิกของโจทก์สามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้บริการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากธนาคารโจทก์ได้การให้บริการดังกล่าวแก่สมาชิกของโจทก์โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วยโจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ2ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/34(7)จำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่24มกราคม2537อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่31มกราคม2539พ้นกำหนด2ปีแล้วสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บัตรเครดิตกรุงศรี วีซ่าพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยยื่นคำให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 2 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นในเรื่องอายุความ โจทก์ไม่คัดค้านคำร้องของจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่ากรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ประกอบการค้าเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำหรือค่าดูแลกิจการของผู้อื่น รวมทั้งเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปในกิจการทั้งหลายนั้น ส่วนกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) เป็นเรื่องผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานเรียกเอาสินจ้างหรือเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองจ่ายไปเนื่องจากกิจการนั้น แต่โจทก์เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 ประกอบกับการให้บริการของโจทก์เป็นธุรกิจในบริการสินเชื่อบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้า ซึ่งเป็นสมาชิกของโจทก์และลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกสามารถนำบัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้ไปใช้บริการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้าจากธนาคารโจทก์ได้ จะนำกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) มาบังคับไม่ได้ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30นั้น เห็นว่า การให้บริการดังกล่าวแก่สมาชิกของโจทก์ โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมรายปีด้วย โจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิก และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อน แล้วเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองไป สิทธิเรียกร้องดังกล่าวมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34 (7) ปรากฏว่าจำเลยชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2537 อันเป็นการรับสภาพหนี้ต่อโจทก์ ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2537 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 31มกราคม 2539 พ้นกำหนด 2 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน จำเลย - นาย อดิศักดิ์ ประกิจวรพงษ์

ชื่อองค์คณะ จารุณี ตันตยาคม สมปอง เสนเนียม ผล อนุวัตรนิติการ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE