ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 4940 ตำบลทมอ อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์เนื้อที่ 42 ไร่ เป็นของโจทก์ทั้งสามโดยรับโอนมรดกจากนางคล้อยกมลเดช เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2529 ขณะที่นางคล้อยยังมีชีวิตอยู่ คือเมื่อปี พ.ศ. 2528 จำเลยเช่าที่ดินพิพาททำนา แต่จำเลยไม่ชำระค่าเช่า จึงได้บอกเลิกการเช่า ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2529จำเลยกับบริวารได้บุกรุกเข้าไปไถนาในที่ดินพิพาทอ้างว่าเป็นที่ดินของนายหึม เหมือนพระ และนางเลียบ ตะสอน โจทก์ทั้งสามห้ามปรามแล้ว จำเลยไม่เชื่อฟัง ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสาม บังคับให้จำเลยและบริวารออกไปห้ามมิให้เข้ามาเกี่ยวข้องอีก กับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามสำหรับค่าขาดประโยชน์จากการทำนาในที่ดินพิพาทสำหรับปี พ.ศ. 2529เป็นเงิน 32,400 บาท และปีต่อ ๆ ไปอีกปีละ 32,400 บาท จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท

จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายหึมบิดาจำเลยนายหึมรับมรดกมาจากนายจันทร์ เหมือนพระ ได้ประมาณ 45 ปีแล้วเดิมเป็นที่ดินแปลงใหญ่ เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ครั้นปี พ.ศ. 2520นายหึมแบ่งขายให้ผู้อื่นไปประมาณ 13 ไร่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2521นายหึมได้นำที่ดินส่วนที่เหลือประมาณ 80 ไร่ ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) แต่พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งว่าราษฎรแต่ละคนจะมีที่ดินเกินกว่า 50 ไร่ไม่ได้ นายหึมจึงออก น.ส.3 ก.เป็นชื่อตนเอง 42 ไร่เศษ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือคือที่ดินพิพาทได้ใส่ชื่อของนางเสียบภริยาใหม่ของตนแทน และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 นายหึมได้ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยเข้าร่วมครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน2527 นางคล้อยและโจทก์ทั้งสามจะซื้อที่ดินพิพาทจากนางเลียบจำเลยและนายหึมจึงแจ้งให้ทราบว่านางเลียบมิใช่เจ้าของห้ามมิให้นางคล้อยและโจทก์ทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทจำเลยและนายหึมครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะเจ้าของตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2527 ตลอดมาจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 1 ปีแล้วโจทก์ทั้งสามมิได้ฟ้องคดีภายใน 1 ปี ฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงขาดอายุความ ค่าเสียหายปีหนึ่งไม่เกิน 10,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสาม เป็นเงิน 21,250 บาท และในอัตราปีละ 21,250 บาท นับแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม

โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อปี พ.ศ. 2521 นายหึมบิดาจำเลยได้ขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของตนเนื้อที่ 80 ไร่เศษเป็น 2 แปลง โดยใส่ชื่อตนเองเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ 1 แปลงอีกแปลงหนึ่งคือที่ดินพิพาทนี้ให้ใส่ชื่อนางเลียบ ภริยาน้อยของตนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เมื่อปี พ.ศ. 2523 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2527 นางเลียบได้ทำหนังสือสัญญาขายที่ดินพิพาทให้นางคล้อยในราคา 70,000 บาท และนางคล้อยได้ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2529 โจทก์ทั้งสามได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทจากนางคล้อย เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2529ปัจจุบันจำเลยเป็นผู้ครอบครองทำนาในที่ดินพิพาท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามมีว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาท หาใช่เป็นการอาศัยสิทธิการเช่าจากโจทก์และเป็นการครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์แต่การที่ นางคล้อยภริยาโจทก์ที่ 1ซื้อที่ดินพิพาทจากนางเลียบภริยานายหึม นั้น นายหึมได้รู้เห็นยินยอมแล้ว สัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางคล้อยกับนางเลียบจึงมีผลสมบูรณ์และมีผลผูกพันนายหึมด้วย คดีจึงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามต่อไปว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายหึมหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาข้อนี้แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายหึมและเป็นการครอบครองแทนนายหึม เมื่อนายหึมต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่ นางเลียบทำกับนางคล้อยดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น จึงถือว่านางเลียบและนายหึมได้โอนการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นางคล้อยตามสัญญาซื้อขายไปแล้วและข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเป็นเจตนายึดถือเพื่อตน อันเป็นการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ทั้งสามได้

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th