ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 91, 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นายโอภาสผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น ส่วนข้อหาอื่นโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาล 80,000 บาท ค่าเจ็บป่วยทนทุกขเวทนา 100,000 บาท ค่าเสียอวัยวะหรือความสามารถอื่น 300,000 บาท และค่าเสื่อมเสรีภาพ เสื่อมเสียชื่อเสียง และค่าเสียหายทางจิตใจ 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 580,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยกระทำละเมิดไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 3,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน และปรับ 2,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง กับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม 150,000 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนพกออโตเมติก RUGER ขนาด 9 มม. หมายเลขทะเบียน กท xxxxxxx ของจำเลยซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายยิงนายโอภาสโจทก์ร่วม 2 นัด กระสุนปืนถูกที่สะโพกขวา ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร และที่ต้นขาขวาด้านหน้า ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร ใช้เวลารักษาประมาณ 2 สัปดาห์ บาดแผลยังไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต สำหรับความผิดฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงเพราะขณะจำเลยกับภริยากำลังกรีดยางอยู่ในสวนยางพาราได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ 3 ถึง 4 คัน ขับวนไปวนมาบริเวณถนนหน้าสวนยางพารา จำเลยคิดว่าคนขับรถจักรยานยนต์พวกนั้นเป็นคนร้ายจะเข้ามาในสวนยางพารา จึงบอกให้ภริยาดับไฟฉายที่คาดศีรษะและหลบซ่อนตัว ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากสวนยางพารากลับไปบ้านเพื่อขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ระหว่างทางพบโจทก์ร่วมกับพวก 1 คน จอดรถจักรยานยนต์อยู่ข้างทาง เมื่อจำเลยขับรถผ่านได้ยินเสียงตะโกนว่า "เห้ยหยุด ไอ้เหมียใช่ไหม" แล้วโจทก์ร่วมกับพวกขับรถไล่ตาม จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ร่วมกับพวกเป็นคนร้ายจึงขับรถหลบหนีจนรถล้มลงในสวนยางพาราข้างทาง จำเลยทิ้งรถไว้แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านและบอกบุตรชายให้ขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยนั่งซ้อนท้ายเพื่อไปรับภริยาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในสวนยางพาราโดยจำเลยพกอาวุธปืนติดตัวไปด้วย ระหว่างทางพบโจทก์ร่วมขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาและเห็นโจทก์ร่วมวกรถกลับพร้อมทำท่าเหมือนจะชักอะไรออกจากเอว จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 2 นัด เพื่อป้องกันตนและบุตรชายอันเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมกับพวกเป็นคนร้าย แม้จำเลยไม่ได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้น แต่ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 และเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวน ซึ่งในข้อนี้โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมเป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ร่วมกับพวกอีก 3 คน ประกอบด้วยนายต้น นายแก้ว และนายเข็ม ไม่ทราบชื่อจริงและชื่อสกุล ขับรถจักรยานยนต์ 4 คัน มาตามถนนภายในหมู่บ้านทุ่งจังซึ่งสองข้างทางเป็นสวนยางพาราเพื่อจะไปทวงหนี้ 6,000 บาท จากนายเหมีย ไม่ทราบชื่อจริงและชื่อสกุล ลูกหนี้ของโจทก์ร่วม เมื่อไปถึงบ้านนายเหมีย ไม่พบนายเหมีย โจทก์ร่วมกับพวกพากันขับรถไปหานายดือ ไม่ทราบชื่อจริงและชื่อสกุล ซึ่งมีบ้านอยู่ห่างจากบ้านนายเหมียประมาณ 500 เมตร เมื่อพบนายดือ โจทก์ร่วมสอบถามถึงนายเหมีย นายดือแจ้งว่าไม่ทราบว่านายเหมียไปไหน โจทก์ร่วมคุยกับนายดืออยู่พักหนึ่งแล้วนายแก้วและนายเข็มขับรถแยกกลับไป ส่วนโจทก์ร่วมและนายต้นขับรถออกจากบ้านนายดือแล้วโจทก์ร่วมแวะจอดรถข้างทางเพื่อปัสสาวะ โดยนายต้นจอดรถรออยู่ใกล้ ๆ ระหว่างนั้นโจทก์ร่วมเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา โจทก์ร่วมเข้าใจว่าจำเลยเป็นนายเหมียจึงตะโกนเรียก แต่จำเลยไม่พูดอะไร โจทก์ร่วมและนายต้นพากันขับรถย้อนไปหานายดือ จากนั้นโจทก์ร่วมและนายต้นขับรถออกจากบ้านนายดือเพื่อไปบ้านนายเหมียโดยนายดือนั่งซ้อนท้ายรถโจทก์ร่วม ระหว่างทางพบรถจักรยานยนต์ 1 คัน ล้มอยู่ในสวนยางพาราข้างทาง นายดือบอกว่าเป็นรถของจำเลยซึ่งเป็นพี่ชายนายดือแล้วนายดือลงจากรถเดินเข้าไปในสวนยางพารา โจทก์ร่วมนั่งคร่อมรถรอนายดือ ส่วนนายต้นขับรถแยกกลับไป ระหว่างนั้นโจทก์ร่วมเห็นรถจักรยานยนต์ 1 คัน มีคนขับและคนนั่งซ้อนท้ายแล่นสวนทางมาแล้วจำเลยซึ่งเป็นคนนั่งซ้อนท้ายและคาดไฟฉายที่ศีรษะใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม 2 นัด เห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ร่วมกับพวกรวม 4 คน ขับรถจักรยานยนต์ 4 คัน พากันไปตามหานายเหมียที่บ้านในเวลา 4.30 นาฬิกา เมื่อไม่พบก็พากันขับรถไปบ้านนายดือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนายเหมีย เมื่อโจทก์ร่วมพบนายดือได้สอบถามถึงนายเหมีย แต่นายดือไม่ทราบว่านายเหมียไปไหน โจทก์ร่วมกับพวกก็ยังไม่ไปไหนคงขับรถวนไปวนมาบริเวณถนนที่เกิดเหตุใกล้สวนยางพาราขณะจำเลยกับภริยากำลังกรีดยางอยู่ซึ่งเป็นเหตุให้จำเลยเข้าใจผิดว่าโจทก์ร่วมกับพวกเป็นคนร้าย จำเลยจึงบอกให้ภริยาดับไฟฉายที่คาดศีรษะแล้วหลบซ่อนอยู่ในสวนยางพารา ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ออกจากสวนยางพาราเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน ระหว่างทางจำเลยเห็นโจทก์ร่วมกับนายต้น และรถจักรยานยนต์ 2 คัน โจทก์ร่วมก็เห็นจำเลยแล้วเข้าใจไปว่าจำเลยเป็นนายเหมียจึงตะโกนเรียกแล้วขับรถไล่ตาม จำเลยขับรถหนีจนรถจำเลยล้มลง จำเลยต้องทิ้งรถและวิ่งเข้าบ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถล้ม จากนั้นจำเลยให้บุตรชายขับรถจักรยานยนต์พาจำเลยนั่งซ้อนท้ายเพื่อไปรับภริยาที่หลบซ่อนอยู่ในสวนยางพารา เมื่อจำเลยได้พบกับโจทก์ร่วมในเวลาที่ต่อเนื่องกัน จำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมทันที เชื่อว่าจำเลยเข้าใจว่าโจทก์ร่วมเป็นคนร้ายนั่นเอง หลังจากจำเลยยิงโจทก์ร่วมแล้วก็ไม่ได้หลบหนีหรือมีพฤติการณ์ปกปิดการกระทำดังกล่าว เพราะเมื่อพันตำรวจตรีธัชนนท์ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรทุ่งลุงกับพวกเจ้าพนักงานตำรวจเดินทางไปสอบถามจำเลยที่บ้าน จำเลยก็ให้การยอมรับว่าใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมพร้อมนำอาวุธปืน แมกกาซีน กระสุนปืน และซองพกในมามอบให้ยึดเป็นของกลาง โดยให้การถึงสาเหตุที่ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม นอกจากนั้นยังไปเยี่ยมโจทก์ร่วมขณะพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่ที่จำเลยนำสืบโดยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า ขณะจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่บุตรชายขับได้พบโจทก์ร่วมขับรถจักรยานยนต์สวนทางมาและเห็นโจทก์ร่วมวกรถกลับพร้อมทำท่าเหมือนจะชักอะไรออกจากเอว จึงใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม 2 นัด นั้น ขัดแย้งกับสภาพบาดแผลของโจทก์ร่วมที่แพทย์ตรวจพบบาดแผลจากกระสุนปืนที่บริเวณสะโพกขวาและต้นขาขวา หากโจทก์ร่วมวกรถกลับมาที่จำเลยดังที่จำเลยกล่าวอ้าง ร่องรอยบาดแผลจากกระสุนปืนจะอยู่ที่บริเวณสะโพกซ้ายและต้นขาซ้ายข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่า ในคืนเกิดเหตุโจทก์ร่วมกับพวกขับรถจักรยานยนต์ไปตามหานายเหมีย แต่ไม่พบ จึงไปหานายดือ เมื่อนายดือแจ้งว่าไม่ทราบว่านายเหมียไปไหน โจทก์ร่วมจึงขับรถออกจากบ้านนายดือไปแวะจอดรถเพื่อปัสสาวะแล้วโจทก์ร่วมเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาพอดี โจทก์ร่วมเข้าใจว่าจำเลยเป็นนายเหมียจึงร้องถามและขับรถไล่ตามไป แต่ไม่ทัน โจทก์ร่วมจึงขับรถกลับไปหานายดือ และให้นายดือนั่งซ้อนท้ายเพื่อตามหานายเหมียแล้วไปพบรถของจำเลยล้มอยู่ในสวนยางพาราข้างทาง นายดือลงจากรถเดินเข้าไปในสวนยางพารา ส่วนโจทก์ร่วมนั่งคร่อมรถรอนายดือ โจทก์ร่วมจึงมิใช่คนร้าย ประกอบเมื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยพบกันครั้งแรกโจทก์ร่วมเข้าใจว่าจำเลยเป็นนายเหมียจึงร้องถามว่าใช่นายเหมียหรือไม่ ผิดวิสัยของคนร้ายที่จะไม่ส่งเสียงให้เหยื่อรู้ตัวก่อนลงมือกระทำผิด ต่อมาเมื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยพบกันอีกครั้งก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมมีพฤติการณ์ใดอันจะเป็นภยันตรายร้ายแรงต่อจำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์บุตรชายแล่นสวนทางมา จำเลยย่อมสามารถใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าหรือยิงไปทางอื่นเพื่อข่มขู่โจทก์มิให้ทำร้ายจำเลยได้ ไม่มีความจำเป็นที่จำเลยจะต้องใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมขณะนั่งคร่อมรถรอนายดือ 2 นัด ติดต่อกัน การกระทำของจำเลยจึงเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 และมาตรา 69 ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ ทั้งตามพฤติการณ์แห่งคดีย่อมเห็นได้ว่าความสำคัญผิดของจำเลยดังกล่าวเกิดขึ้นโดยความประมาทของจำเลย เนื่องจากจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบก่อนลงมือยิงว่าโจทก์ร่วมเป็นคนร้ายจริงหรือไม่ จำเลยย่อมมีความผิดฐานกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 โดยผลของมาตรา 62 วรรคสองด้วย ซึ่งแม้จะเป็นข้อแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง แต่ต่างกันระหว่างการกระทำความผิดโดยเจตนากับประมาท ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 และกรณีนี้เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำโดยสำคัญผิด ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และเมื่อฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยอันเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ซึ่งค่าสินไหมทดแทนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดให้ชดใช้นั้นเป็นจำนวนที่เหมาะสมแก่ความผิดและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 มาตรา 69 และมาตรา 62 วรรคแรก และมาตรา 390 ประกอบมาตรา 62 วรรคสอง เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 มาตรา 69 และมาตรา 62 วรรคแรก ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1083/2567
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา








