ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 289, 295, 371 และริบของกลางทั้งหมด
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80, 295, 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย จำคุก 1 ปี และฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุก 25 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย คงจำคุก 6 เดือน และฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร คงปรับ 500 บาท รวมจำคุก 25 ปี 6 เดือน และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 10 ปี เมื่อลดโทษ ให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 5 ปี และเมื่อรวมโทษในความผิดฐานอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 6 เดือน และปรับ 500 บาท ความผิดฐานอื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร และได้ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ และตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นหรือไม่ เห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า จำเลยมีสิทธิฎีกาในปัญหาดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายที่ 1 อย่างแรง 1 ครั้ง บริเวณหน้าอกโดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน แต่ผู้เสียหายที่ 1 หลบทันอาวุธมีดถูกบริเวณหลัง จนใบมีดหลุดออกจากด้าม และจำเลยใช้ด้ามมีดดังกล่าวแทงบริเวณหลังผู้เสียหายที่ 1 อีกหลายครั้ง จำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากมีผู้เข้าช่วยเหลือและผู้เสียหายที่ 1 ได้รับการรักษาทันท่วงที จึงไม่ถึงแก่ความตาย แต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดที่หลังด้านซ้ายบริเวณกระดูกสะบักอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาประกอบคำให้การรับสารภาพเพื่อพิสูจน์ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้อง และศาลจะต้องฟังพยานหลักฐานของโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามฟ้องจริง จึงจะลงโทษได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบและพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ตามฟ้อง และจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 โดยอ้างว่า อาวุธมีดที่ใช้แทงผู้เสียหายที่ 1 เป็นอาวุธมีดขนาดเล็กมีสภาพเก่า ด้ามมีดกับตัวมีดมีสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ อีกทั้งสภาพบาดแผลของผู้เสียหายที่ 1 เป็นบาดแผลขนาดเล็กซึ่งเป็นบาดแผลไม่รุนแรง ไม่สามารถทำให้ผู้เสียหายที่ 1 ถึงแก่ความตายได้ เป็นการอุทธรณ์อ้างว่า ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 ตามฟ้องเท่ากับอ้างว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง จึงมิใช่อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงที่ขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยหรือเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งจะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงชอบที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น และเมื่อจำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ตามฎีกาของจำเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ และเห็นว่าพยานโจทก์ที่สืบประกอบคำรับสารภาพมีพยานปากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 มาเบิกความทำนองเดียวกันถึงสาเหตุบาดหมางที่จำเลยมีต่อผู้เสียหายที่ 1 มาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุก็เป็นการนัดหมายมาพบกันไม่ใช่เรื่องมาพบกันโดยบังเอิญ หากจำเลยต้องการเจรจาระงับข้อขัดแย้งจำเลยก็ไม่ต้องถืออาวุธมีดและสนับมือลงมาด้วย แต่พฤติการณ์ที่จำเลยถืออาวุธมีดและสนับมือมา ฟังได้ว่าเป็นการตระเตรียมการมาเพื่อก่อเหตุตามฟ้อง แม้จำเลยจะไม่ได้ตรงเข้าหาผู้เสียหายที่ 1 ในทันที แต่จำเลยเดินตรงเข้าไปหานางเสาวลักษณ์และผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นพวกเดียวกันกับผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์เป็นการแสดงท่าทีข่มขู่เพื่อไม่ให้นางเสาวลักษณ์และผู้เสียหายที่ 2 เข้ามาช่วยผู้เสียหายที่ 1 แล้วทันใดนั้น จำเลยก็หันวิ่งไปเงื้อมีดขึ้นแทงผู้เสียหายที่ 1 ทันที การที่จำเลยใช้อาวุธมีดที่พกติดตัวมาวิ่งเข้าไปเงื้อมีดสูงระดับหูเพื่อแทงผู้เสียหายที่ 1 โดยแรง แต่ผู้เสียหายที่ 1 เอี้ยวตัวหลบทำให้อาวุธมีดแทงโดนสะบักซ้ายของผู้เสียหายที่ 1 จนใบมีดหักตกลงที่พื้น นับว่าเป็นการตั้งใจแทงโดยแรงที่บริเวณอวัยวะสำคัญด้วยมีดขนาดใหญ่ เเม้ใบมีดหักแล้วจำเลยก็ยังใช้ด้ามมีดแทงผู้เสียหายที่ 1 อีกหลายครั้ง ประกอบกับพฤติการณ์ที่จำเลยเคยพูดจาอาฆาตผู้เสียหายที่ 1 มาก่อนเกิดเหตุว่าจะเอาให้ถึงตาย จนถึงการนัดมาพบกันและพกอาวุธมีดมา ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 โดยเตรียมการไตร่ตรองไว้ก่อนด้วยการนำอาวุธมีดพกติดตัวมาเพื่อแทงผู้เสียหายที่ 1 ให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งหากไม่มีคนเข้ามาช่วยเหลือ จำเลยก็คงฆ่าผู้เสียหายที่ 1 จนถึงแก่ความตายตามที่เคยพูดอาฆาตไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ เมื่อพยานโจทก์สืบถึงพฤติการณ์ที่จำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ การนัดหมายมาพบกันในเวลาเกิดเหตุการณ์ที่จำเลยเตรียมอาวุธมีดและสนับมือเดินลงจากรถจักรยานยนต์โดยแสร้งเป็นเดินตรงไปข่มขู่นางเสาวลักษณ์และผู้เสียหายที่ 2 แล้วในทันใดนั้นจำเลยก็หันไปหาผู้เสียหายที่ 1 วิ่งเงื้อมีดเข้าแทงผู้เสียหายที่ 1 ในทันที โดยยังไม่ได้พูดจากัน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 1 โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 มานั้น ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3520/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา









