ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2519 ต่อมาวันที่26 พฤศจิกายน 2535 ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีให้ยึดทรัพย์ผู้ร้องในมูลหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระจำนวน 375,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2519เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามคำขอของผู้คัดค้าน

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อประมาณปี 2519 ผู้คัดค้านได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าหุ้นจำนวน 375,000 บาทผู้ร้องได้ปฎิเสธต่อผู้คัดค้านว่า ไม่เคยซื้อหุ้นของจำเลยที่ 1การมีชื่อในบัญชีผู้ถือหุ้นเป็นการแอบอ้างของกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 โดยพลการ ผู้คัดค้านเห็นว่าผู้ร้องมิได้ค้างชำระค่าหุ้นแต่ประการใด จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นสั่งให้ไต่สวน ชั้นไต่สวนผู้ร้องให้การปฎิเสธหนี้ไว้หลังจากนั้นก็มิได้ติดตามหรือทราบคำสั่งศาลอีก และไม่เคยได้รับคำบังคับแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนกันยายน 2535ผู้ร้องได้รับคำบังคับฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2535 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2522 ศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าหุ้น การที่ผู้คัดค้านได้ดำเนินการขอออกคำบังคับและหมายบังคับคดี และศาลได้ออกหมายบังคับคดีให้เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 จึงเป็นการล่วงเลยระยะเวลา 10 ปี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งยกหมายบังคับคดีดังกล่าว

ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า หลังจากผู้คัดค้านมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2522 ให้ผู้คัดค้านเรียกผู้ร้องชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระผู้ร้องจึงอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2527 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านรับคำบังคับมาส่งให้แก่ผู้ร้องและส่งได้โดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2534 ต่อมาผู้คัดค้านทราบว่าผู้ร้องได้ย้ายภูมิลำเนาไปแล้วจึงได้ขอให้ศาลออกคำบังคับใหม่และได้ส่งคำบังคับแก่ผู้ร้องโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2535 ครั้นครบกำหนดตามคำบังคับแล้วผู้ร้องมิได้ปฎิบัติตามคำบังคับ ผู้คัดค้านจึงได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและศาลได้ออกหมายบังคับเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน 2535 เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้ร้องชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 14พฤศจิกายน 2527 ถึงวันศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน 2535 จึงเป็นการขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 271 แล้ว ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้คัดค้านอ้างสรรพเอกสารในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องเป็นพยานหลักฐาน ผู้คัดค้านจำต้องส่งสำนวนดังกล่าวต่อศาลทั้งสำนวน หาใช่แยกส่งเอกสารแต่ละฉบับตามที่ผู้คัดค้านส่งต่อศาลหากผู้คัดค้านประสงค์จะอ้างเอกสารแต่ละฉบับก็ควรยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมให้ชัดเจน ดังนั้น การอ้างและส่งเอกสารจึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ควรรับฟังนั้นในข้อนี้ปรากฎว่า ผู้ร้องได้โต้แย้งไว้แล้วตามคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 2กรกฎาคม 2536 โดยโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านอ้างส่งเอกสารหมายค.1 ถึง ค.11 แต่มิได้ระบุไว้ในบัญชีพยานหรือยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมแต่อย่างใด เป็นการไม่ชอบแม้ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในฎีกาข้อนี้ โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งไว้ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เห็นว่าผู้คัดค้านได้อ้างสรรพเอกสารในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องเป็นพยานโดยระบุไว้ในบัญชีพยานของผู้คัดค้านแล้ว เอกสารหมาย ค.1 ถึง ค.11เป็นเอกสารส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องแม้ผู้คัดค้านจะขออ้างส่งเฉพาะเอกสารหมาย ค.1 ถึง ค.11 ก็ไม่จำต้องยื่นบัญชีพยานหรือขอระบุพยานเพิ่มเติมต่างหากอีกฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีภายหลังระยะเวลา 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดแล้วนั้น เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเรียกหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระจากผู้ร้อง ผู้ร้องได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา จึงถือว่าคดีถึงที่สุดนับแต่ระยะเวลาที่อาจฎีกาได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147วรรคสอง มิใช่ถึงที่สุดนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังที่ผู้ร้องฎีกามา คดีนี้ปรากฎว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2527 ผู้คัดค้านขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2535 และศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 จึงยังไม่เกิน10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้นเช่นกัน"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th