สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6101/2564

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6101/2564

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 291, 300, 390 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 30, 193 ทวิ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ม. 43, 157

เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157 ป.อ. มาตรา 291, 300, 390 แล้วโจทก์ร่วมทั้งสามยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยระบุคำร้องว่า บ. และ ป. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของดาบตำรวจ ร. โดย น. มารดา และ น. ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของดาบตำรวจ ร. จึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมทั้งสามในฐานะผู้สืบสันดานและภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายและเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ร่วมทั้งสามเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กาย จึงไม่ถูกต้อง และเมื่อโจทก์ร่วมทั้งสามสามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท โจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงให้ไม่รอการลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ และเมื่อคดีขึ้นมาที่ศาลฎีกาแล้วจึงเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 157 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390

จำเลยให้การรับสารภาพ

ระหว่างพิจารณา เด็กหญิง บ. และเด็กชาย ป. โดยนาง น. ผู้แทนโดยชอบธรรม และนาง น. ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กาย โดยให้เรียกเด็กหญิง บ. เด็กชาย ป. และนาง น. ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 300, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี และปรับ 60,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี และปรับ 30,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนด 1 ปี ตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด ให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

โจทก์ร่วมทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับและไม่รอการลงโทษนอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า โจทก์ร่วมทั้งสามมีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ดาบตำรวจประเสริฐถึงแก่ความตาย โจทก์ร่วมที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน กับโจทก์ร่วมที่ 3 ซึ่งภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายที่จะฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญา เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยแล้วโจทก์ร่วมทั้งสามยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโดยระบุคำร้องว่า เด็กหญิง บ. และเด็กชาย ป. บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของดาบตำรวจประเสริฐ โดยนาง น. มารดา และนาง น. ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของดาบตำรวจประเสริฐจึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมทั้งสามในฐานะผู้สืบสันดานและภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายซึ่งเป็นผู้เสียหายและเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ร่วมทั้งสามเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเฉพาะข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กาย จึงไม่ถูกต้องและเมื่อโจทก์ร่วมทั้งสามสามารถเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท โจทก์ร่วมทั้งสามจึงมีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงให้ไม่รอการลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แต่เมื่อคดีขึ้นมาที่ศาลฎีกาแล้ว จึงเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้องโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า สมควรรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยได้ความว่า เหตุเกิดเนื่องจากจำเลยขับรถยนต์ไปตามถนนซึ่งมีทางเดินรถเดียวโดยมี 3 ช่องเดินรถ และมีร่องคั่นกลางกับทางเดินรถที่สวนทาง จำเลยขับรถในช่องเดินรถที่ 3 นับจากซ้ายด้วยความเร็วประมาณ 110 ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจำเลยต้องการแซงรถยนต์คันหน้า จำเลยจึงขับรถเข้าไปในช่องเดินรถที่ 2 และที่ 1 ตามลำดับแล้วเปลี่ยนกลับเข้าช่องเดินรถที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์ ด้านท้ายรถยนต์ในช่องเดินรถที่ 2 และด้านหน้าซ้ายรถยนต์ในช่องเดินรถที่ 3 ทำให้รถยนต์ของจำเลยตกลงไปในร่องกลางถนนแล้วกระเด็นข้ามไปในทางเดินรถที่สวนมาแล้วชนกับรถยนต์กระบะซึ่งมีคนขับและผู้โดยสารรวม 9 คน กับรถยนต์อีกคันหนึ่ง ซึ่งผู้ที่ถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัสและอันตรายแก่กายเป็นผู้ที่นั่งมาในรถยนต์กระบะ ส่วนรถยนต์คันอื่นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บคงมีแต่รถยนต์ที่เสียหายซึ่งได้รับการชดใช้จากบริษัทประกันภัยแล้ว ฝ่ายผู้เสียหายทั้งหมดในรถยนต์กระบะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมประมาณ 3,200,000 บาท ระหว่างพิจารณาจำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระให้ผู้เสียหายจำนวน 5 ราย เป็นเงิน 200,000 บาท และระหว่างฎีกาจำเลยชำระเงินให้ทายาทของผู้เสียหายอีก 2 ราย รวมจำนวน 250,000 บาท ดังนั้นเมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับการที่จำเลยพยายามชดใช้เงินแก่ฝ่ายผู้เสียหายเพื่อบรรเทาผลร้าย ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยอายุ 23 ปี อาศัยอยู่กับภริยา บุตรอายุ 4 ปี และมารดาของภริยา จำเลยทำงานประจำและนำรายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว จำเลยไม่เคยกระทำความผิดและรับโทษจำคุกมาก่อน เหตุคดีนี้เป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตของจำเลยและทำให้จำเลยต้องขับรถด้วยความระมัดระวังต่อไปซึ่งพนักงานคุมประพฤติก็รายงานว่าหลังเกิดเหตุจำเลยขับรถยนต์อยู่บ้างแต่นาน ๆ ครั้ง และยังรู้สึกไม่สบายใจขณะขับรถ จำเลยจึงน่าจะสำนึกในการกระทำความผิด การลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษจึงไม่เป็นผลดีแก่จำเลยและครอบครัว สมควรให้โอกาสจำเลย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้โจทก์ร่วมทั้งสามเข้าร่วมเป็นโจทก์ในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วย และให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.739/2564

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี โจทก์ร่วม - เด็กหญิง บ. โดยนาง น. ผู้แทนโดยชอบธรรม กับพวก จำเลย - นาย อ.

ชื่อองค์คณะ ปิยนุช มนูรังสรรค์ สุวิชา นาควัชระ ธวัชชัย รัตนเหลี่ยม

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสระบุรี - นายกมลศักดิ์ ชัยชนะวิชชกิจ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายชาญวิทย์ รักษ์กุลชน

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th