คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2564
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 148
คดีก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตและต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงมูลหนี้เดียว คำขออื่นให้ยกนั้น เท่ากับศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้และสินเชื่อบุคคล หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดีก่อนไม่ถูกต้องอย่างไร โจทก์ก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์จนคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์นำมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้และสินเชื่อส่วนบุคคลมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นกรณีที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.1059/2554 ของศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 303,406.58 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 91,867.45 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า ก่อนคดีนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ.985/2554 ของศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ในมูลหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อพร้อมใช้ และสินเชื่อบุคคล จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ในมูลหนี้บัตรเครดิตแก่โจทก์ ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.1059/2554 ของศาลชั้นต้น โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ในมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้ และสินเชื่อบุคคล อันเป็นมูลหนี้เดียวกันกับมูลหนี้ที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.1059/2554 ของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.1059/2554 ของศาลชั้นต้น ระหว่างบริษัท บ. โจทก์ นาย ณ. จำเลย ในส่วนที่ฟ้องขอให้รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญากู้ประเภทสินเชื่อพร้อมใช้และสินเชื่อบุคคลหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาสรุปว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ. 1059/2554 ของศาลชั้นต้น เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ 3 มูลหนี้ ได้แก่ มูลหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อพร้อมใช้ และสินเชื่อบุคคล ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตามมูลหนี้บัตรเครดิตเท่านั้น ไม่ได้วินิจฉัยและพิพากษาในมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้ และสินเชื่อบุคคลแต่อย่างใด โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้ และสินเชื่อบุคคลมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ได้ไม่เป็นฟ้องซ้ำตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย เห็นว่า ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.1059/2554 ของศาลชั้นต้น ที่วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นหนี้บัตรเครดิตและต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงมูลหนี้เดียว คำขออื่นให้ยกนั้น เท่ากับศาลชั้นต้นมิได้พิพากษาให้จำเลยรับผิดในมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้และสินเชื่อบุคคล หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร โจทก์ก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อแก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์จนคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์นำมูลหนี้สินเชื่อพร้อมใช้และสินเชื่อส่วนบุคคลมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นกรณีที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ผบ.1059/2554 ของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)269/2563
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท บ. จำเลย - นาย ณ.
ชื่อองค์คณะ นพรัตน์ สี่ทิศประเสริฐ ประทีป อ่าววิจิตรกุล สันติชัย วัฒนวิกย์กรรม์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดชัยนาท - นางสาวปาลิดา ลิ้มศิริวัฒน์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายสุชาติ ชาติปัญญาวุฒิ