ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมโดยจำเลยทั้งสองตกลงร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยผ่อนชำระเป็นงวด หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดไม่ชำระหนี้ทั้งหมดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 15650 ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งกันส่วนที่ดินของผู้ร้องทั้งสอง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติได้ว่า วันที่ 28 ตุลาคม 2558 ศาลจังหวัดหนองคายในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 132/2558 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1040/2558 พิพากษาตามยอมว่า จำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 15650 ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย บางส่วนให้แก่นางเลี้ยง และผู้ร้องที่ 2 คดีถึงที่สุดตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมาย ร.6 และ ร.8 โดยผู้ร้องทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนสิทธิ ส่วนคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมโดยจำเลยทั้งสองตกลงชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ออกขายทอดตลาด
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสองมีว่า ผู้ร้องทั้งสองชอบที่จะขอกันที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 15650 ตำบลจุมพล อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย บางส่วนจากการขายทอดตลาดหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องทั้งสองบรรยายคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองกับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลจังหวัดหนองคายในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 132/2558 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่ดินพิพาทบางส่วนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งได้มีการแบ่งการครอบครองกันเป็นส่วนสัด อันเป็นกรณีที่ผู้ร้องทั้งสองกล่าวอ้างว่า ที่ดินพิพาทบางส่วนเป็นของตน ขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเอกสารหมาย ร.6 ระบุว่า จำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่ดินพิพาทบางส่วนให้แก่นางเลี้ยง และผู้ร้องที่ 2 หาได้ระบุว่า จำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องที่ 1 ด้วยไม่ ข้อเท็จจริงคงได้ความเพียงว่า ผู้ร้องที่ 1 เป็นผู้รับมอบอำนาจของนางเลี้ยงซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวเท่านั้น แม้ต่อมานางเลี้ยงถึงแก่ความตาย ตามมรณบัตรเอกสารหมาย ร.9 ก็ไม่ทำให้ผู้ร้องที่ 1 มีสิทธิยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ในฐานะส่วนตัว เมื่อผู้ร้องที่ 1 ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท ผู้ร้องที่ 1 จึงไม่มีอำนาจยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ ปัญหาเรื่องอำนาจยื่นคำร้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องที่ 1 อีกต่อไป ส่วนผู้ร้องที่ 2 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลจังหวัดหนองคายในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 132/2558 คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1040/2558 พิพากษาตามยอม โดยจำเลยที่ 1 ตกลงโอนที่ดินพิพาทบางส่วนให้แก่ผู้ร้องที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมเอกสารหมาย ร.6 และ ร.8 ผู้ร้องที่ 2 จึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แต่การที่ผู้ร้องที่ 2 จะขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 323 นั้น เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้บุคคลที่อาจร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีภายในหกสิบวันนับแต่วันที่มีการยึดทรัพย์สินนั้น แต่ถ้าไม่สามารถยื่นคำร้องขอภายในระยะเวลาดังกล่าว บุคคลนั้นจะยื่นคำร้องขอเมื่อพ้นระยะเวลาเช่นว่านั้นได้ก็ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และได้ยื่นคำร้องขอไม่ช้ากว่าเจ็ดวันก่อนวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดไว้เพื่อการขายทอดตลาด หรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินนั้นเป็นครั้งแรก เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยบุคคลนั้นจะยื่นคำร้องขอในภายหลังก็ได้ แต่จะต้องยื่นเสียก่อนขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินนั้น คดีนี้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 และประกาศขายทอดตลาดที่ดินพิพาทนัดที่ 1 ในวันที่ 25 กันยายน 2561 ตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี เอกสารหมาย ค.1 และมีการงดการบังคับคดีไว้ ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 จึงพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่มีการยึดทรัพย์สินนั้นและช้ากว่าเจ็ดวันก่อนวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดไว้เพื่อการขายทอดตลาดซึ่งทรัพย์สินนั้นเป็นครั้งแรกแล้ว การที่ผู้ร้องที่ 2 จะยื่นคำร้องขอให้ปล่อยที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนในกรณีนี้ได้ ผู้ร้องที่ 2 จะต้องอ้างถึงเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ผู้ร้องที่ 2 ไม่สามารถยื่นคำร้องขอได้ทันภายในกำหนด แต่ตามคำร้องผู้ร้องที่ 2 คงอ้างแต่เพียงว่า ที่ดินพิพาทบางส่วนเป็นของผู้ร้องที่ 2 ตามคำพิพากษาตามยอมคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 132/2558 ของศาลจังหวัดหนองคาย โดยไม่ได้อ้างถึงเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ไม่สามารถยื่นคำร้องได้ภายในกำหนดแต่อย่างใด ผู้ร้องที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเป็นคดีนี้ ฎีกาของผู้ร้องที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.864/2563
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา









