ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน
โจทก์ฟ้องคดีทั้งสองใจความว่า นางอนงค์โจทก์ และลูกจ้างอีก 6 คนมีนายอู๊ด อินทรบุตร บุตรนางคิ้วโจทก์ด้วย ได้นำรถยนต์บรรทุกมีสาลี่พ่วงท้ายของนางอนงค์โจทก์ไปบรรทุกไม้เสาบรรทุกเสร็จจึงนำรถกลับ ได้หยุดรถชิดไหล่ถนน ได้มีรถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลย 2 คันแล่นตามกันมารถยนต์บรรทุกน้ำมันคันหลังของจำเลยซึ่งมีลูกจ้างจำเลยเป็นผู้ขับ ได้เห็นสัญญาไฟท้ายรถของนางอนงค์โจทก์ และเห็นไฟหน้ารถจักรยานยนต์คันนั้นแล้ว แต่มิได้ชะลอความเร็ว และใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ พอหักพวงมาลัยรถหลบรถจักรยานยนต์ รถยนต์ของจำเลยก็เสียการทรงตัวแฉลบพุ่งเข้าชนท้ายรถตรงสาลี่ล้อหลังของรถนางอนงค์โจทก์ เป็นเหตุให้นายอู๊ด อินทรบุตร ถึงแก่ความตาย ฯลฯ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนแก่นางคิ้วโจทก์เป็นเงิน 58,000 บาท และแก่นางอนงค์โจทก์เป็นเงิน 77,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้ทั้งสองสำนวน และฟ้องแย้งในสำนวนหลังว่า เหตุที่รถชนกันตามฟ้องเป็นเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ควบคุมรถยนต์ของนางอนงค์โจทก์ เนื่องจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนางอนงค์โจทก์เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยคันหมายเลขทะเบียน ร.บ.03257 เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้นางอนงค์โจทก์ใช้ค่าเสียหาย 5,200 บาท
นางอนงค์โจทก์สำนวนหลังให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การที่รถยนต์ของโจทก์ถูกรถยนต์ของจำเลยชนนั้น เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่รถยนต์จำเลยฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทั้งฝ่ายนางอนงค์โจทก์และจำเลยต่างประมาทด้วยกันทั้งคู่ตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดพอกัน ทั้งสองฝ่ายไม่จำต้องใช้ค่าเสียหายแก่กัน แต่จำเลยต้องรับผิดต่อนางคิ้วโจทก์เพียงครึ่งหนึ่ง โดยคิดค่าเสียหายทั้งหมด 30,000 บาท คงให้จำเลยรับผิดเพียง 15,000 บาท พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้นางคิ้วโจทก์เป็นเงิน 15,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ในคดีที่นางอนงค์เป็นโจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้ง
โจทก์ทั้งสองสำนวนและจำเลยสำนวนแรกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์สำนวนหลังและจำเลยสำนวนแรกฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ นางอนงค์โจทก์ได้ควบคุมรถยนต์บรรทุกไปบรรทุกไม้สนด้วยตนเอง ตอนจวนจะเกิดเหตุเป็นเวลาเริ่มมืดแล้ว ขณะนั้นนางอนงค์โจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกไม้กลับโดยจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาจอดอยู่ที่ริมถนนเพชรเกษมเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของรถ ขณะที่จอดรถอยู่ดังกล่าวได้ราว 15 -20 นาที รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยก็วิ่งมาชนสาลี่พ่วงท้ายที่บรรทุกไม้ รถยนต์บรรทุกไม้ของนางอนงค์โจทก์จอดอยู่โดยมิได้เปิดไฟและข้อเท็จจริงได้ความจากพยานโจทก์ว่าก่อนที่จะเกิดเหตุชนกัน รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยได้วิ่งตามหลังรถยนต์บรรทุกน้ำมันอีกคันหนึ่งมา เห็นไฟหน้ารถส่ายไปมา ซึ่งแสดงว่ารถได้วิ่งมาอย่างเร็ว พอรถจำเลยวิ่งตามมาถึงตรงที่รถโจทก์จอดอยู่ก็พุ่งเข้าชนท้ายสาลี่รถบรรทุกไม้รถโจทก์ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่าขณะที่รถเกิดชนกันนั้น รถของโจทก์กำลังต่อสายไฟมาที่สาลี่พ่วงท้ายยังไม่ได้ติดหลอดไฟและเปิดไฟไว้ และที่รถจำเลยวิ่งมาชนรถโจทก์นั้น ก็เชื่อว่ารถจำเลยได้วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ซึ่งจะเห็นได้จากอาการวิ่งของรถ คือเห็นไฟหน้ารถส่ายไปมาประกอบกับขณะนั้นก็มีรถเปิดไฟสว่างจะวิ่งสวนมา คนขับของจำเลยคงมองไม่เห็นรถโจทก์ที่จอดอยู่ เพราะมิได้เปิดไฟ รถจำเลยจึงวิ่งเข้าชนรถสาลี่ของโจทก์การที่รถของโจทก์จำเลยเกิดการชนกันขึ้น จึงเห็นได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย และตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดของทั้งสองฝ่ายก็เห็นว่ามีความร้ายแรงพอ ๆ กัน นางอนงค์โจทก์ในฐานะเป็นนายจ้างรถคันเกิดเหตุเองจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์จำเลยต่างขอมานั้นควรให้เป็นพับไปแก่ตน ส่วนจำเลยก็เช่นกันจะต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่เกิดขึ้นแก่นายอู๊ดผู้ตาย กล่าวคือ ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางคิ้วโจทก์มารดาผู้ตาย และค่าสินไหมทดแทนที่ศาลล่างกำหนดไว้ก็สมควรแล้ว
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









