ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทประมาณ 10 กว่าปีที่แล้วเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ประกาศให้ราษฎรตำบลที่โจทก์อาศัยอยู่ทราบว่า การสร้างเขื่อนชลประทานและเขื่อนเก็บน้ำหลายแห่งในจังหวัดกาญจนบุรีจะทำให้น้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง คือหมู่บ้านที่โจทก์อาศัยอยู่ทั้งหมด และได้แนะนำให้ราษฎรขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ในราคาไร่ละ 2,000 บาท ถ้าไม่ขายน้ำจะท่วมและไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ต่อมาวันที่ 11 สิงหาคม 2513โจทก์ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ด้วยความจำใจเพราะหลงเชื่อคำประกาศของจำเลยที่ 1 บัดนี้เขื่อนทั้งหลายสร้างเสร็จแลล้ว ปรากฏว่าไม่เคยมีน้ำท่วมที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทตกอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองส่ง น.ส.3 คืนให้โจทก์และรับเงินจากโจทก์คืนไปพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง

จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทกันด้วยใจสมัคร จำเลยที่ 1 ไม่เคยประกาศแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อยอมขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 1 และมิได้ฉ้อฉลโจทก์ โจทก์หามีสิทธิบอกล้างหรือขอเพิกถอนแต่ประการใดไม่ และขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทตามฟ้องหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ไม่ได้ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1ด้วยความสมัครใจ แต่เพราะหลงเชื่อจำเลยที่ 1 ที่ประกาศว่าการสร้างเขื่อนชลประทานและเขื่อนเก็บน้ำหลายแห่งในจังหวัดกาญจนบุรีจะทำให้น้ำท่วมริมฝั่งแม่น้ำแม่กลองรวมทั้งหมู่บ้านที่โจทก์อาศัยอยู่ ขอให้โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 ในราคาไร่ละ 2,000 บาทถ้าไม่ขายน้ำจะท่วมและไม่ได้ผลตอบแทนเลย ทำให้โจทก์ต้องทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2513ด้วยความจำใจ เพราะหลงเชื่อคำประกาศของจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อเขื่อนสร้างเสร็จแล้ว ปรากฏว่าไม่เคยมีน้ำท่วมที่ดินพิพาทเลยและโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2529 เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าโจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทเพราะถูกจำเลยที่ 1 หลอกลวงให้หลงเชื่ออันเป็นการอ้างเหตุว่าจำเลยที่ 1 ใช้กลฉ้อฉลโจทก์ เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 ซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกล้างเสียได้ แต่โจทก์มิได้บอกล้างและฟ้องคดีเมื่อเวลาล่วงไปเกิน 10 ปีแล้วนับแต่เมื่อโจทก์ทำนิติกรรมขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงบอกล้างไม่ได้ และไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทตามฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว

พิพากษายืน.

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th