
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒,๓๕๓,๘๓,๘๖
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์คดีพอวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดไต่สวนมูลฟ้อง และวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า แม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทโดยได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมกรรมการบริษัทโดยชอบก็ตาม แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างบริษัทตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายมีหน้าที่จำหน่ายสินค้าและเก็บรวบรวมเงินค่าสินค้าจากลูกค้าส่งให้บริษัท ฉะนั้นตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นเพียงตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผูมีอำนาจของบริษัทให้กระทำการได้เพียงเท่าที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น หามีอำนาจกระทำกิจการอื่นใดนอกเหนือจากนี้ได้ไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕(๓) การที่จำเลยที่ ๑ ตามลำพังหรือจำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ยักยอกทรัพย์ของบริษัท บริษัทย่อมเป็นผู้เสียหายตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔) โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท และเป็นบุคคลหนึ่งต่างหากจากบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคลถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามความในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญามาตรา ๒(๔) อันจะพึงมีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๘(๒) การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้นั้น ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








