คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6370/2540
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 859 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 177, 225 วรรคสอง, 249 วรรคสอง
ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ คู่ความก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคสอง และมาตรา 249 วรรคสอง จำเลยฎีกาอ้างว่า โจทก์คิดยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันไม่ถูกต้อง แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าโจทก์ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องหรือไม่ก็ตาม ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยในปัญหาที่จำเลยฎีกาให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ จำเลยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและขอถอนหลักประกันคืน เมื่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 859บัญญัติให้คู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและให้หักทอนบัญชีกันเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเป็นข้อขัดกับที่กล่าวมานี้ และตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับพิพาทไม่มีข้อห้ามจำเลยบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดดังนั้น สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเลิกกันในวันที่โจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า ได้มอบอำนาจให้นางลาวัลย์ ใบหยกฟ้องคดีแทน จำเลยเป็นลูกค้าโจทก์ สาขาประดิพัทธ์ โดยเปิดบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 034-6-03282-2 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม2533 จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เพื่อเบิกเงินจากบัญชีกระแสรายวันในวงเงิน 4,500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ14.5 ต่อปี และส่วนที่เกินจำนวน 4,500,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยตามกำหนด ให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างทบเข้ากับต้นเงินเป็นรายเดือนตามประเพณีธนาคารพาณิชย์ ตกลงจะชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 4 ตุลาคม 2534 และจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในจำนวนหนี้ที่ค้างชำระในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้โจทก์เรียกเก็บได้ตามเอกสารหมายเลข 3 ท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ 1,281,725.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,248,755.37 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะลายมือชื่อในสำเนาหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องหมายเลข 2 มิใช่ลายมือชื่อที่แท้จริงของกรรมการผู้มีอำนาจ เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3จำเลยยังได้ให้การต่อสู้คดีอีกหลายประการ และจำเลยได้มีหนังสือไปยังโจทก์เพื่อขอบอกเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2533โจทก์และจำเลยหามีเจตนาต่อสัญญาหรือตกลงเดินสะพัดทางบัญชีต่อกันไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากวงเงินนับแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2533 เป็นต้นไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,281,725.72 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,248,755.37 บาทนับแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาข้อแรกว่า จำเลยได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอ้างว่าศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้จึงเป็นปัญหาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัย ทั้งนี้ตามยันแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 บัญญัติให้ศาลต้องวินิจฉัยมิใช่ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจว่ามีเหตุสมควรจะวินิจฉัยให้หรือไม่ เห็นว่าปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้ แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ คู่ความก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสองและมาตรา 249 วรรคสอง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ผู้มีชื่อซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นางลาวัลย์ ใบหยก เป็นผู้ดำเนินคดีแทนโจทก์ตามเอกสารหมาย 2 ท้ายฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธว่าลายมือชื่อกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์เป็นลายมือปลอมและข้อความในเอกสารเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไป ไม่มีเจตนามอบอำนาจให้ดำเนินคดีแก่จำเลย แต่ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตามฟ้องหรือไม่ โดยกำหนดให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน แต่ในชั้นพิจารณาไม่ปรากฏว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำสืบข้อเท็จจริงสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนในส่วนนี้ เมื่อจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสืบว่าลายมือชื่อผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ในหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีเป็นลายมือปลอมดังที่จำเลยให้การต่อสู้ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเลื่อนลอยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ส่วนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์มีเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ซึ่งเป็นสำเนาหนังสือมอบอำนาจที่มีลายมือชื่อของนายศิรินทร์นิมมานเหมินท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ของโจทก์มอบอำนาจให้นางลาวัลย์ ใบหยก ผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีฟ้องร้อง ฯลฯแทนโจทก์ได้ทุกกรณี โดยนางลาวัลย์ได้ลงชื่อในฐานะผู้รับมอบอำนาจในเอกสารดังกล่าวด้วยและนางลาวัลย์ได้ลงชื่อเป็นผู้แต่งทนายความในใบแต่งทนายความยื่นต่อศาลพร้อมกับฟ้องแม้โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบในภายหลังจะไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องดังกล่าวของตน แต่เอกสารหมายเลข 2ที่แนบมาท้ายฟ้องก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ข้ออ้างตามคำฟ้องในส่วนนี้จึงมีพยานหลักฐานสนับสนุน ไม่ใช่โจทก์กล่าวอ้างลอย ๆ มาในคำฟ้อง จึงมีน้ำหนักดีกว่าข้อต่อสู้ของจำเลยข้อเท็จจริงตามคำฟ้องพอฟังได้ว่าผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ลงชื่อมอบอำนาจให้นางลาวัลย์ฟ้องคดี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์ได้ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 4,500,000 บาทตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยฎีการับว่ายอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันในเอกสารหมาย ล.18 จำเลยมียอดหนี้ค้างชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 4,430,518.72 บาท จริง แล้ววินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยและรับฟังว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ได้ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์วงเงิน 4,500,000 บาทตามเอกสารหมาย ล.21 แต่จำเลยไม่สามารถเบิกเงินจากบัญชีเต็มวงเงินได้เพราะโจทก์ได้ให้จำเลยออกเช็คเบิกเงินจากบัญชีใหม่ไปเข้าบัญชีเดิมเพื่อชำระหนี้ที่ค้างชำระอยู่จำนวน 4,430,518.72บาท โดยจำเลยไม่ได้ตกลงยินยอมด้วย จึงไม่อาจรับฟังได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่า จำเลยได้บอกเลิกข้อตกลงบัญชีเดินสะพัดตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีใหม่กับโจทก์แล้วเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2533 ตามเอกสารหมาย ล.19 ดังนั้นสัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเลิกกันตั้งแต่วันดังกล่าวซึ่งจำเลยมีหนี้ค้างชำระบัญชีเพียง 4,579,372.86 บาท โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยเบิกเงินจากบัญชีอีกต่อไปจำเลยคงนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในยอดหนี้ที่ค้างชำระ โจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยโดยไม่ทบต้นในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี จนกว่าจะมีการชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ ดังนั้น ยอดหนี้ที่โจทก์อ้างในวันที่ 20 เมษายน 2537 ตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.1 จึงไม่ถูกต้อง เห็นว่า เป็นเรื่องที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์คิดยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันไม่ถูกต้อง แม้ศาลชั้นต้นจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวดังกล่าวข้างต้นศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ จำเลยเบิกความว่า เมื่อทราบว่าจำเลยไม่สามารถเบิกเงินจากโจทก์ตามวงเงินที่ทำสัญญาไว้ในวันที่ 12 ธันวาคม 2533 จำเลยจึงมีหนังสือถึงผู้จัดการเขต 6 ของโจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและขอถอนหลักประกันคืนตามเอกสารหมาย ล.19 นายสมชาย สุขสำราญ พยานโจทก์ซึ่งนำสืบในภายหลังก็ไม่ได้เบิกความปฏิเสธว่าโจทก์ไม่เคยได้รับหนังสือฉบับดังกล่าวของจำเลย แต่ปรากฏว่ามีข้อความลงลายมือชื่อจำเลยบันทึกไว้ที่ตอนบนของเอกสารหมาย ล.19 ว่า ส่งต้นฉบับเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2534 และมีตราประทับของโจทก์ระบุว่าโจทก์ได้รับเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2534 เลขที่รับที่ 741ดังนี้จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย ล.19 แล้วในวันดังกล่าวซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 859 บัญญัติว่า คู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและให้หักทอนบัญชีกันเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเป็นข้อขัดกับที่กล่าวมานี้ และตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย ล.21 ไม่มีข้อห้ามจำเลยบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดแต่อย่างใด ดังนั้น จึงต้องถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันในวันที่ 13 พฤษภาคม 2534 โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกต่อไป โดยในวันที่ 12 พฤษภาคม 2534 จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์จำนวน 4,867,513.80 บาท ตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 3 อนึ่ง นายสมชาย สุขสำราญ พยานโจทก์เบิกความเพียงว่า การคิดดอกเบี้ยโจทก์อาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งประกอบด้วยเอกสารจำนวน 8 แผ่น แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยสำหรับหนี้ส่วนที่เกิน 4,500,000 บาทเพิ่มจากอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี เป็นร้อยละ 18 ต่อปี ตามฟ้องตั้งแต่เมื่อใด อย่างไร ดังนั้นโจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี สำหรับวงเงิน 4,500,000 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี สำหรับวงเงินส่วนที่เกิน 4,500,000 บาทตามสัญญาโดยไม่ทบต้นตลอดไปจนกว่าจะมีการชำระหนี้รายนี้เสร็จแก่โจทก์
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 4,867,513.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,500,000 บาท และอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี จากต้นเงินส่วนที่เกิน 4,500,000 บาท คิดตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2534 โดยไม่ทบต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ให้นำเงินที่จำเลยฝากเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ในบัญชีกระแสรายวันตามเอกสารหมาย จ.1 นับแต่วันที่ 13 พฤษภาคม2534 เป็นต้นมา รวมทั้งให้นำต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยในบัญชีเงินฝากประจำของจำเลยเลขที่ 034-2-05897-5 คิดถึงวันที่มีการชำระหนี้มาหักกลบลบหนี้ หากเงินยังขาดเท่าใดให้จำเลยชำระแก่โจทก์จนครบ และถ้ายังมีเงินเหลือให้โจทก์คืนแก่จำเลย
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร กรุงไทย จำกัด ( มหาชน จำเลย - นาย ศิริ แก้วเกลี้ยง
ชื่อองค์คณะ ปรีชา เฉลิมวณิชย์ บุญธรรม อยู่พุก ประกาศ บูรพางกูร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan