สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6403/2540

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6403/2540

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 5, 6, 821, 822, 1336 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 142 (5)

จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ช่วยค้ำประกันหนี้กู้ยืมโดยจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังไม่มีข้อความกรอกไว้มาให้โจทก์ลงลายมือชื่อและแจ้งว่าถ้ากรอกข้อความไปไม่ถูกต้องเจ้าพนักงานที่ดินจะไม่ดำเนินการให้ โจทก์เชื่อใจจำเลยที่ 1 จึงลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวพร้อมกับมอบสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและโฉนดที่ดินพิพาทให้ไป การกระทำของโจทก์เป็นการกระทำโดยความประมาทเลินเล่อ ยอมเสี่ยงภัยในการกระทำของตนเองอย่างร้ายแรง แม้จำเลยที่ 1 จะปลอมหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวโดยกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1มีอำนาจขายที่ดินและบ้านพิพาทได้ก็ตาม ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1จดทะเบียนซื้อขายเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทจากโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 แล้วจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อธนาคารจนกระทั่งจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ดังกล่าวโดยตรง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์อย่างไรลำพังราคาทรัพย์ที่ระบุในสัญญาจดทะเบียนโอนขายเป็นราคาประเมินหาใช่ราคาที่แท้จริงตามที่จำเลยทั้งสองซื้อขายกันจะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตของจำเลยที่ 2 หาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาจากจำเลยที่ 1มิได้ล่วงรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับการโอนที่ดินและบ้านพิพาทเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงรับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช่นกัน หากให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทด้วยเหตุผลว่าจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้โอนย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เป็นอย่างมาก และความเสียหายนี้ก็เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์โดยตรงดังนั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามเอาที่ดินและบ้านพิพาทคืนโดยฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายเป็นคดีนี้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่77316 พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 10/52 หมู่ที่ 2เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 มาขอความช่วยเหลือจากโจทก์ โดยขอให้โจทก์นำหลักทรัพย์ไปค้ำประกันหนี้กู้ยืมซึ่งจำเลยที่ 1 จะกู้ยืมจากบุคคลภายนอกโจทก์ตกลงจะช่วยเหลือ แต่เนื่องจากโจทก์จะต้องเดินทางไปทำธุรกิจด้านการเกษตรที่จังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ 1จึงให้โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความอื่นใด จำเลยที่ 1 ได้ให้โจทก์รับรองสำเนาบัตรประจำตุัวประชาชนกับสำเนาทะเบียนบ้านให้ และโจทก์ได้มอบต้นฉบับโฉนดที่ดินเลขที่ 77316 ให้จำเลยที่ 1 ไว้ด้วยต่อมาโจทก์ได้สอบถามจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1นำโฉนดที่ดินมาคืนโจทก์ จำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำโฉนดที่ดินดังกล่าวไปค้ำประกันหนี้กู้ยืมหากแต่ได้นำไปเป็นหลักประกันจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาและจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อน โจทก์ไปตรวจสอบโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดิน จึงทราบว่าจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลและหลอกลวงโจทก์มาตั้งแต่แรกและจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ลงลายมือชื่อข้างต้นไปกรอกข้อความให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจขายที่ดินโฉนดเลขที่ 77316 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการผิดไปจากเจตนาที่โจทก์ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวไปใช้ในการจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 77316พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากชื่อโจทก์เป็นชื่อจำเลยที่ 1 และในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ต่อมาวันที่ 20 ธันวาคม 2533 จำเลยที่ 1 ได้ไถ่ถอนจำนองแล้วจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 ในราคา 700,000 บาท โจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยปราศจากอำนาจการกระทำทั้งหมดของจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2ผู้รับโอนจึงไม่มีสิทธิในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาเป็นของตนโดยปราศจากอำนาจ แต่จำเลยที่ 2 กลับสมคบกับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างข้างต้นมาเป็นของจำเลยที่ 2 เป็นการคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่สุจริต ขอให้พิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2531 รายการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 77316 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และรายการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันดำเนินการจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมทั้งสองรายการให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวกลับคืนมาเป็นของโจทก์หากจำเลยทั้งสองเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ทั้งนี้การกระทำดังกล่าวให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การว่า การที่โจทก์ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจโดยไม่ได้กรอกข้อความเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1นำหนังสือดังกล่าวไปกรอกข้อความผิดไปจากเจตนาของโจทก์โดยกรอกข้อความให้มีอำนาจขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1และนำไปจดทะเบียนจำนองแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด โดยโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมด้วยนั้นเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ ซึ่งจะอ้างให้เป็นประโยชน์แก่ตนเพื่อเป็นที่เสื่อมเสียแก่บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ได้ ที่ดินโฉนดเลขที่77316 พร้อมสิ่งปลูกสร้างนี้จำเลยที่ 2 ซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนทำนิติกรรมต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 คบคิดกันฉ้อฉลโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้เข้าทำนิติกรรมกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริตขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าเมื่อวันที่18 สิงหาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินและบ้านพิพาทของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินและบ้านพิพาทไว้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2533 จำเลยที่ 1ได้ไถ่ถอนจำนองและจดทะเบียนโอนขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ขอให้เพิกถอนการโอนที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าวได้หรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์และนางเสมอใจ หรือเขียว ต้อยปาน เบิกความยืนยันว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 ขอให้โจทก์ช่วยค้ำประกันหนึ้กู้ยืม แต่วันนี้โจทก์ต้องไปดูแลฟาร์มปศุสัตว์ที่จังหวัดนครราชสีมา ไม่สามารถไปค้ำประกันให้ได้ จำเลยที่ 1จึงนำหนังสือมอบอำนาจตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งยังไม่มีข้อความกรอกไว้มาให้โจทก์ลงลายมือชื่อโดยแจ้งว่าถ้ากรอกข้อความไปไม่ถูกต้องเจ้าพนักงานที่ดินจะไม่ดำเนินการให้ โจทก์เชื่อใจจำเลยที่ 1 จึงลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว พร้อมกับมอบสำเนาทะเบียนบ้านสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และโฉนดที่ดินพิพาทให้ไปดังนี้เห็นว่า การกระทำดังกล่าวของโจทก์เป็นการกระทำโดยความประมาทเลินเล่อ ซึ่งเป็นการยอมเสี่ยงภัยในการกระทำของตนเองอย่างร้ายแรง เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1ปลอมหนังสือมอบอำนาจโดยกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจขายที่ดินและบ้านพิพาทได้ก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนซื้อขายเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทจากโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 แล้วจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อธนาคาร จนกระทั่งจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ดังกล่าวโดยตรงส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์นั้นมีโจทก์เบิกความเพียงปากเดียวว่าทรัพย์พิพาทมีราคาประมาณ3,000,000 บาท ไม่ใช่ 700,000 บาท ตามที่จำเลยที่ 1ขายให้แก่จำเลยที่ 2 เพราะเป็นหมู่บ้านจัดสรรอยู่ห่างจากถนนแจ้งวัฒนะประมาณ 100 เมตร จึงไม่ได้ความว่าจำเลยทั้งสองคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์อย่างไร ลำพังราคาทรัพย์ที่ระบุในสัญญาจดทะเบียนโอนขายกันจะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริตของจำเลยที่ 2 หาได้ไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยรู้จักกันมาก่อน การจดทะเบียนโอนขายที่ดินและบ้านพิพาทได้กระทำกันหลังจากจำเลยที่ 1 โอนมาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ต่อธนาคารเป็นเวลาถึง2 ปีเศษ และจำเลยที่ 2 นำสืบโดยมีนายชาติชาย สุขไสยทนายความของจำเลยที่ 2 ผู้ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2ให้ไปตรวจสอบทรัพย์พิพาทก่อนที่จะซื้อขายกัน และนางประเสริฐศรี เสรีวัฒนพงษ์ ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 2ให้ไปจดทะเบียนรับโอนทรัพย์พิพาทแทนเบิกความเป็นพยานว่าในวันจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทนั้น พยานทั้งสองไปที่สำนักงานที่ดินด้วยกันและซื้อขายกันจริงในราคา 1,800,000 บาทโดยจ่ายเงินชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อไถ่ถอนจำนองของจำเลยที่ 1 จำนวน 1,400,000 บาท ที่เหลือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ไปตามสำเนาแคชเชียร์เช็คสำเนาบันทึกและสำเนาใบรับเงินเอกสารหมาย ล.3 พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักและเหตุผลรับฟังเป็นความจริงได้ยิ่งกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ราคาที่ดินและบ้านพิพาทที่ระบุในสัญญาซื้อขายจึงเป็นราคาประเมินหาใช่ราคาที่แท้จริงตามที่ซื้อขายกันไม่ ข้อเท็จจริงย่อมฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 มิได้ล่วงรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ปลอมแปลงหนังสือมอบอำนาจเกี่ยวกับการโอนที่ดินและบ้านพิพาทเปลี่ยนชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด จำเลยที่ 2จึงรับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนไม่ได้คบคิดกันจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลโจทก์ เมื่อเป็นเช่นนี้หากให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทด้วยเหตุผลว่าจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้โอน ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เป็นอย่างมากและความเสียหายนี้ก็เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์โดยตรง ดังนั้น การที่โจทก์ใช้สิทธิติดตามเอาที่ดินและบ้านพิพาทคืนโดยฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายเป็นคดีนี้ ถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และปัญหาเรื่องการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246, 247

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย ขจร ศักดิ์ ต้อยปาน จำเลย - นาย ประยุทธ์หรือประยุทธ รุจิรัต กับพวก

ชื่อองค์คณะ บุญธรรม อยู่พุก ทวีชัย เจริญบัณฑิต ไชยวัฒน์ สัตยาประเสริฐ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE