ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 9,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) และขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต ยกคำร้อง แล้วพิจารณาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์และผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ กับให้รับคำร้องสอดของผู้ร้องสอดไว้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและผู้ร้องสอดร่วมกันรับผิดชดใช้เงิน 9,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่มีผลกระทบถึงความรับผิดของผู้ร้องสอดในส่วนคงเหลือที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ สถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2555 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 88/2558 กับให้จำเลยและผู้ร้องสอดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้และชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 20,000 บาท

ผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องสอดใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 15,000 บาท แทนโจทก์

ผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมาณต้นปี 2554 โจทก์ตกลงว่าจ้างผู้ร้องสอดให้ก่อสร้างอาคาร ชื่อโครงการ บ. โดยจำเลยได้ออกหนังสือค้ำประกันผู้ร้องสอดที่ทำสัญญารับจ้างกับโจทก์รวม 4 ฉบับ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 18 มกราคม 2554 เลขที่ 54 - 42 - 0131 - 1 วงเงิน 3,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 17 มกราคม 2555 และเลขที่ 54 - 42 - 0131 - 2 วงเงิน 2,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2554 ฉบับที่ 3 และฉบับที่ 4 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 เลขที่ 54 - 42 - 0292 - 9 วงเงิน 2,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 และเลขที่ 54 - 42 - 0303 - 3 วงเงิน 2,000,000 บาท มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 วันที่ 11 มกราคม 2555 โจทก์ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม ให้คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาชี้ขาดเรื่องผิดสัญญา เรียกค่าเสียหายจากผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดยื่นคำคัดค้านและข้อเรียกร้องแย้ง คณะอนุญาโตตุลาการมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า ผู้ร้องสอดเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญา และได้บอกเลิกสัญญาไปยังผู้ร้องสอดแล้วเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2554 ดังนั้น สัญญาพิพาทเลิกกันไป โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับให้จำเลยที่ออกหนังสือค้ำประกันทั้งสี่ฉบับ ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันเพื่อความเสียหายที่โจทก์ได้รับจากการผิดสัญญาของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิเรียกให้โจทก์คืนหนังสือค้ำประกันทั้งสี่ฉบับให้แก่ผู้ร้องสอด ให้ผู้ร้องสอดชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,624,981.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 มกราคม 2555 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันเสนอข้อพิพาทเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ยกข้อเรียกร้องแย้งของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต่อศาลแพ่ง โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ยกคำร้อง ผู้ร้องสอดอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการของสถาบันอนุญาโตตุลาการ สำนักระงับข้อพิพาท สำนักงานศาลยุติธรรม ข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 3/2555 ข้อพิพาทหมายเลขแดงที่ 88/2558 เฉพาะส่วนที่วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธินำเงินค่าเคลียร์แรงงานคนต่างด้าวที่โจทก์จ่ายให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจจำนวน 84,000 บาท มาหักออกจากเงินค่าจ้างที่จะต้องจ่ายเป็นค่าจ้างแก่ผู้ร้องสอด และให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในส่วนอื่นนอกจากส่วนที่เพิกถอนดังกล่าว นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องสอดประการแรกว่า จำเลยต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่ โดยผู้ร้องสอดฎีกาว่าหนังสือค้ำประกันฉบับดังกล่าว ตามข้อ 4 ระบุว่า "มีผลใช้บังคับได้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2554" และสัญญาข้อ 2 ระบุว่า เมื่อจำเลยได้รับหนังสือแจ้งความจากโจทก์ว่า ผู้ร้องสอดปฏิบัติผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ภายในวงเงินดังกล่าว (2,000,000 บาท) ไม่ว่าทั้งหมดหรือเฉพาะส่วน จำเลยยอมชำระเงินแทนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งความดังกล่าวเป็นต้นไป แสดงว่าหากโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกันแล้ว โจทก์ต้องมีหนังสือแจ้งการผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้ให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกันภายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2554 แต่โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกันเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 หนังสือค้ำประกัน จึงสิ้นผลผูกพัน เห็นว่า ตามหนังสือค้ำประกันทั้งสี่ฉบับตามข้อ 2 มีข้อความเช่นเดียวกันว่า เมื่อจำเลยได้รับหนังสือแจ้งจากโจทก์ว่าผู้ร้องสอดปฏิบัติผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไม่ว่าทั้งหมดหรือเฉพาะส่วน จำเลยยอมชำระเงินแทนภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งความดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหนังสือค้ำประกันทุกฉบับที่จำเลยมอบแก่โจทก์ก็เพื่อค้ำประกันการทำงานของผู้ร้องสอดในช่วงระยะเวลาที่หนังสือค้ำประกันแต่ละฉบับกำหนดไว้ เพราะหากพ้นจากช่วงระยะเวลาดังกล่าวของหนังสือค้ำประกันฉบับใดฉบับหนึ่ง ก็ไม่อาจถือได้ว่าผู้ร้องสอดปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแก่โจทก์ในฉบับนั้น อันมีผลให้โจทก์ไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดแทนผู้ร้องสอดได้ และหากตีความว่าเมื่อผู้ร้องสอดปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์ในช่วงเวลาตามที่กำหนดไว้ในหนังสือค้ำประกันก็ตาม โจทก์ยังต้องมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกันภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแต่ละฉบับ ย่อมขัดต่อความประสงค์และมุ่งหมายที่โจทก์ให้จำเลยค้ำประกันการทำงานของผู้ร้องสอดอย่างแท้จริง ทั้งจำเลยประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ โดยได้รับผลประโยชน์ในรูปค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือค้ำประกันหนี้ของลูกค้า เช่นผู้ร้องสอด จากผู้ร้องสอดเป็นเงินตอบแทนในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ของยอดวงเงินค้ำประกัน ซึ่งคิดเป็นรายปี จำเลยย่อมทราบดีว่าในกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า ลูกหนี้ที่ตนค้ำประกันประพฤติผิดสัญญา ย่อมมีข้อโต้แย้งทำให้ไม่อาจแจ้งเหตุให้จำเลยทราบได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ดังเช่นคดีนี้ โจทก์อ้างว่าผู้ร้องสอดผิดสัญญาตั้งแต่การส่งมอบงานชุดแรกในวันที่ 30 มิถุนายน 2554 และมีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือค้ำประกัน เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2554 ภายหลังจากโจทก์แจ้งถึงการผิดสัญญาให้ผู้ร้องสอดทราบและบอกเลิกสัญญาแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือค้ำประกันโดยถือเอาวันที่ผู้ร้องสอดปฏิบัติผิดสัญญาในระหว่างช่วงเวลาที่หนังสือค้ำประกันการทำงานของผู้ร้องสอดกำหนดไว้ แม้จะมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวก็หามีผลให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิดไม่ จึงชอบด้วยหลักการตีความสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 ที่บัญญัติว่า "สัญญานั้น ท่านให้ตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปรกติประเพณีด้วย" เมื่อคำนึงประกอบกับสัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างอาคารเรือนแถวและสัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ซึ่งระบุข้อความในข้อ 16.3 เช่นเดียวกัน ว่า "ในกรณีข้อพิพาท เพื่อระงับข้อพิพาท คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงนำข้อพิพาทดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ กระทรวงยุติธรรม ผลของการพิจารณาจากอนุญาโตตุลาการ ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดในข้อพิพาทนั้น" ย่อมมีผลให้โจทก์ต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการว่า ผู้ร้องสอดผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวนเท่าใด ซึ่งตามสภาพการณ์ดังกล่าวจะต้องใช้เวลาพิจารณาเนิ่นนานพอสมควร โจทก์ย่อมไม่อาจแจ้งถึงความรับผิดของผู้ร้องสอดให้จำเลยทราบภายในกำหนดเวลาของหนังสือค้ำประกันแต่ละฉบับได้ ซึ่งจะมีผลให้หนังสือค้ำประกันสิ้นผลไปโดยปริยายและไม่มีประโยชน์อันใดที่โจทก์ต้องให้จำเลยทำหนังสือค้ำประกันการทำงานของผู้ร้องสอดแก่โจทก์ อันจะเป็นการขัดแย้งกับหลักการตีความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 10 ที่บัญญัติว่า "เมื่อความข้อใดข้อหนึ่งในเอกสารอาจตีความได้สองนัย นัยไหนจะทำให้เป็นผลบังคับได้ ให้ถือเอาตามนัยนั้นดีกว่าจะถือเอานัยที่ไร้ผล" เช่นนี้ การตีความสัญญาของศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยต้องรับผิดในการผิดสัญญาของผู้ร้องสอดแก่โจทก์ แม้จะมีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบภายหลังกำหนดเวลาคือ วันที่ 17 กรกฎาคม 2554 ผ่านพ้นไปแล้วจึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของผู้ร้องสอดข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ผู้ร้องสอดฎีกาประการสุดท้ายว่า การที่โจทก์มิได้ทวงถามให้ผู้ร้องสอดชำระหนี้แก่โจทก์ก่อน ผู้ร้องสอดจึงยังมิได้ผิดนัด โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยให้รับผิดตามหนังสือค้ำประกันทั้งสี่ฉบับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 นั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้อง ทั้งผู้ร้องสอดก็กล่าวอ้างเพียงว่า แม้คณะอนุญาโตตุลาการจะได้มีคำชี้ขาดให้ผู้ร้องสอดรับผิดต่อโจทก์ แต่ผู้ร้องสอดได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งเพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล อันเป็นเหตุเพียงพอให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา 57 (1) ซึ่งหากคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการถูกศาล มีคำสั่งหรือคำพิพากษาให้เพิกถอนแล้ว ผู้ร้องสอดไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยจ่ายเงินตามหนังสือค้ำประกันได้อีกต่อไป โดยไม่มีประเด็นข้อพิพาทให้โจทก์ต้องนำสืบว่า โจทก์ได้เรียกร้องให้ผู้ร้องสอดรับผิดเพราะเหตุผิดสัญญา และผู้ร้องสอดผิดนัดแล้ว จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือค้ำประกัน ดังนั้น อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดในข้อนี้จึงเป็นข้อที่ผู้ร้องสอดมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แม้ผู้ร้องสอดฎีกาปัญหาข้อนี้มา ศาลฎีกาก็ไม่อาจรับวินิจฉัยให้เช่นเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252

อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยและผู้ร้องสอดร่วมกันชดใช้เงิน 9,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม 2555) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกามีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 อันมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ มาตรา 7 และมาตรา 224 ว่าให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละสามต่อปีบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี รวมเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละห้าต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงคิดดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น เมื่อปรากฏว่าสัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างอาคารเรือนแถวและสัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างอาคารพาณิชย์ เอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 มิได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ผู้ร้องสอดและจำเลยจึงต้องรับผิดโดยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องตามที่โจทก์ขอ จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เมื่อปัญหาเรื่องอัตราดอกเบี้ยขัดต่อกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามพระราชกำหนดดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและผู้ร้องสอดร่วมกันใช้เงิน 9,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม 2555) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 นั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้นบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปีนับแต่วันนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามคำขอ ให้ผู้ร้องสอดใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกา 15,000 บาท แทนโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.815/2564

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th