ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 และเรียกจำเลยในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ 3

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องจำเลยทั้งสามทำนองเดียวกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339, 340 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 12,535 บาท แก่เจ้าของด้วย

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบมาตรา 83จำคุกคนละ 2 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปีชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพและทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3มีกำหนดคนละ 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 12,535 บาท แก่เจ้าของ คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานทำร้ายร่างกายให้จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 เดือน ฐานลักทรัพย์ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ลดโทษให้จำเลยทั้งสามคนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 4 เดือน 15 วัน จำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 1 ปี 1 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะโทษที่ลงแก่จำเลยทั้งสาม มิได้แก้บทมาตราด้วยเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวและไม่พบของกลาง ส่วนจำเลยทั้งสามมีประจักษ์พยาน 2 ปากยืนยันว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่สามารถเอาผิดแก่จำเลยทั้งสามได้นั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการรับฟังพยานหลักฐานเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ผู้เสียหายสมัครใจเข้าต่อสู้กับฝ่ายจำเลยจึงมิใช่ผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่รับฟังว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันทำร้ายผู้เสียหาย เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันฎีกาของจำเลยทั้งสามดังกล่าวต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย"

พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสาม

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th