คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6638/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 237 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 249
จำเลยที่2ทราบว่าจำเลยที่1เป็นหนี้โจทก์มาก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่1เป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นดังนั้นการที่จำเลยที่1โอนขายที่ดินของตนพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่2นั้นจำเลยที่2ย่อมทราบแล้วว่าจำเลยที่1เป็นหนี้โจทก์และปรากฏว่าจำเลยที่1มีที่ดินเพียงแปลงเดียวดังกล่าวจำเลยที่1จึงไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาได้การกระทำของจำเลยที่1และที่2ทำให้โจทก์เสียเปรียบโจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่1และที่2ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา237 ฎีกาของจำเลยที่1ที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่2เพราะขณะยื่นฟ้องจำเลยที่2อยู่ต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยที่2โดยจำเลยที่2ไม่ได้มาต่อสู้คดีนี้ศาลจึงไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 30312ตำบลบางขุนศรี (บางขุนนนท์) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 69/125 ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องชายโดยฉ้อฉลโจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาให้เสียเปรียบ โดยจำเลยที่ 2 รู้อยู่ว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้สินติดค้างกับโจทก์ ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 30312ตำบลบางขุนศรี (บางขุนนนท์) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 269/125 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนทรัพย์ดังกล่าวกลับมาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 ให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้รับชำระไปครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริตและเป็นการโอนกันก่อนที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะขณะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30312 เลขที่ดิน 4353 ตำบลบางขุนศรี (บางขุนนนท์)อำเภอบางกอกน้อย พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 269/125แขวงบางขุนศรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ให้กลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นน้องชายของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน2530 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 30312 แปลงซึ่งโจทก์ขอเพิกถอนการฉ้อฉลให้แก่จำเลยที่ 2 วันที่ 20 เมษายน 2531ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 518,229.17 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 500,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีแล้ว โจทก์สืบทราบว่าจำเลยที่ 1มีที่ดินโฉนดเลขที่ 30312 เพียงแปลงเดียวและได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ไปแล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า การโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 30312 ให้แก่จำเลยที่ 2จะเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบและโจทก์มีสิทธิขอเพิกถอนได้หรือไม่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า "เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หาท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนก็ได้"สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมีค่าตอบแทน ดังนั้น ตามกฎหมายดังกล่าวจำเลยที่ 2 จะต้องรู้เท่าถึงข้อเท็จจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบนั้นด้วยจึงจะเพิกถอนการโอนได้ มีปัญหาว่าจำเลยที่ 2 รู้เท่าถึงข้อเท็จจริงอันเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบด้วยหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์เบิกความว่า เมื่อปี 2529จำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันฉ้อโกงเงินโจทก์ไปประมาณ 7,000,000 บาทถึง 8,000,000 บาท โจทก์ได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 กับพวกเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกจับในปี 2529 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องชายจำเลยที่ 1 ได้ไปเยี่ยมจำเลยที่ 1 ที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวและเจรจาประนีประนอมหนี้กับโจทก์โดยตกลงกันให้จำเลยที่ 1ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 800,000 บาท โจทก์ก็จะถอนคำร้องทุกข์ให้แก่จำเลยที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำเงินจำนวน 300,000บาท ไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ส่วนที่เหลืออีก 500,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คสั่งจ่ายให้แก่โจทก์ แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้เพราะธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 518,229.17 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 มีที่ดินโฉนดเลขที่ 30312 แปลงเดียวและได้ขายให้แก่จำเลยที่ 2 ไปตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2530ซึ่งปัญหาดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้มาเบิกความปฏิเสธแต่อย่างใด และปัญหานี้นางกิมหยุย แซ่โก มารดาของจำเลยที่ 1เบิกความเป็นพยานว่า วันที่ 6 ตุลาคม 2529 ซึ่งจำเลยที่ 1 ถูกควบคุมตัวอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวนั้น พยานและจำเลยที่ 2 ได้ไปเยี่ยมจำเลยที่ 1 และได้พบกับโจทก์ทั้งได้เจรจาเรื่องหนี้สินของจำเลยที่ 1 อีกด้วย คำเบิกความดังกล่าวเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์มาก่อนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินโฉนดเลขที่30312 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2ย่อมทราบแล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์และปรากฏว่าจำเลยที่ 1มีที่ดินเพียงแปลงเดียวดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาได้การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2ทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 วรรคหนึ่ง ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เพราะขณะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 อยู่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเป็นฎีกาเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้มาต่อสู้ในคดีนี้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง วรรณี โตสิตระกูล จำเลย - นาย ปกรณ์ ไพบูลย์ตลอดการ กับพวก
ชื่อองค์คณะ นิวัตน์ แก้วเกิดเคน ยงยุทธ ธารีสาร ยรรยง ปานุราช
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan