ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้น ขนาดเบอร์ 12 จำนวน 1 กระบอกไม่มีเครื่องหมายของเจ้าพนักงานประทับไว้ และกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน 2 นัด ซึ่งกระสุนปืนกับอาวุธปืนดังกล่าวใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยพาอาวุธปืนลูกซองสั้นดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะตามถนนสายบ้านปวนพุ บ้านหลักร้อยหกสิบ โดยไม่มีเหตุสมควร โดยจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวไปและไม่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้นและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ,72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิวรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ตอนแรก ลงโทษฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองจำคุก 1 ปี ลงโทษฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน

จำเลย อุทธรณ์ ขอให้ รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลย ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมื่อ หมู่บ้านและทางสาธารณะเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบทหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยจำเลยฎีกาได้แม้มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์การที่จำเลยมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปนั้นเห็นว่าจำเลยมีเจตนาที่จะมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่งและมีเจตนาที่จะพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรม แยกจากกันได้ หาใช่เป็นการกระทำโดยต่อเนื่องดังที่จำเลยฎีกาไม่ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่างกรรมกัน จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิดต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาเรื่องของกลางก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีคำขอให้ริบของกลางมาแล้วทั้งมิใช่กรณีเพิ่มเติมโทษจำเลย ก็ชอบที่จะวินิจฉัยในเรื่องของกลางด้วยที่ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบของกลางศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและต้องแก้ในส่วนนี้"

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th