สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6964/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6964/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 321 วรรคหนึ่ง, 656 วรรคสอง

การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง อันจะทำให้หนี้ระงับไปตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องปรากฏว่าผู้ให้กู้ให้ความยินยอมในการเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมและต้องมีการตกลงกันว่าสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่นำมาชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้นมีราคาเท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลา ณ สถานที่ส่งมอบนั้นเท่าใดหรือไม่ด้วยเพื่อจะได้ทราบว่าหนี้เงินกู้ยืมระงับไปเป็นจำนวนเท่าใด

จำเลยกู้เงินโจทก์โดยนำรถยนต์มาเป็นหลักประกัน และตามสัญญากู้เงินมีข้อตกลงว่า หากผู้กู้ผิดนัดผิดสัญญา และผู้ให้กู้ได้บอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่ผู้กู้เพิกเฉย ผู้กู้ตกลงให้ผู้ให้กู้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำไปขายทอดตลาดหรือให้ผู้ให้กู้บังคับเอาแก่หลักประกันด้วยวิธีอื่นใดเพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหรือบังคับเอาแก่หลักประกันมาชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินได้ หากผู้ให้กู้ขายรถหรือใช้สิทธิบังคับเอาแก่หลักประกันแล้วยังไม่พอชำระหนี้ที่ค้างชำระ ผู้กู้ยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้จนกว่าจะครบถ้วน เมื่อจำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ได้ การที่จำเลยนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เพื่อดำเนินการตามสัญญากู้เงินต่อไปตามหนังสือแสดงเจตนา จึงมิใช่การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง แต่เป็นการส่งมอบรถยนต์เพื่อให้โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญา เมื่อได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบ

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 145,675.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 115,378.56 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 115,378.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.99898 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ เฉพาะดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 20 ตุลาคม 2564) ต้องไม่เกิน 19,192.30 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลในอนาคตชั้นอุทธรณ์ 100 บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2562 จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 240,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 11.99898 ต่อปี ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนเป็นงวดรายเดือน งวดละ 6,320 บาท รวม 48 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 และงวดต่อไปทุกวันที่ 10 ของเดือนถัดไป โดยนำสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์มาให้โจทก์ยึดไว้ ในวันที่ 8 เมษายน 2563 จำเลยนำรถยนต์มามอบแก่โจทก์ หลังจากนั้นวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดได้เงิน 78,000 บาท ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 2 เมษายน 2564 บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 17 สิงหาคม 2564 และลงวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ไปถึงจำเลยแจ้งว่า หากจำเลยนำรถยนต์มาส่งมอบแก่โจทก์และมีการประมูลขายได้ราคาต่ำกว่าภาระหนี้คงค้าง โจทก์จะยกหนี้ส่วนที่เหลือและปิดบัญชีให้แก่จำเลย

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยตามที่ศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์ยอมรับเอารถยนต์ไว้ เป็นกรณีที่โจทก์ผู้ให้กู้ยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอื่นเป็นการชำระหนี้แทนการชำระหนี้เงินที่กู้ยืมอันเป็นเหตุให้หนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสอง และมาตรา 321 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เพียงใด หรือเป็นเพียงการรับเอาทรัพย์อันเป็นหลักประกันตามสัญญาไว้เพื่อบังคับตามสัญญาข้อ 4.2 อันเป็นเหตุให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชำระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ" และมาตรา 321 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป" ดังนั้นการเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสอง อันจะทำให้หนี้ระงับไปตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องปรากฏว่าผู้ให้กู้ต้องให้ความยินยอมในการเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมและต้องมีการตกลงกันว่าสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่นำมาชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้นมีราคาเท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลา ณ สถานที่ส่งมอบนั้นเท่าใดหรือไม่ด้วยเพื่อจะได้ทราบว่าหนี้เงินกู้ยืมระงับไปเป็นจำนวนเท่าใด แต่ในคดีนี้ได้ความตามสัญญากู้เงินว่า จำเลยกู้เงินโจทก์โดยนำรถยนต์มาเป็นหลักประกัน และตามสัญญากู้เงินข้อ 4.2 มีข้อตกลงว่า หากผู้กู้ผิดนัดผิดสัญญา และผู้ให้กู้ได้บอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่ผู้กู้เพิกเฉย ผู้กู้ตกลงให้ผู้ให้กู้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำไปขายทอดตลาดหรือให้ผู้ให้กู้บังคับเอาแก่หลักประกันด้วยวิธีอื่นใดเพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหรือบังคับเอาแก่หลักประกันมาชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินได้ หากผู้ให้กู้ขายรถหรือใช้สิทธิบังคับเอาแก่หลักประกันแล้วยังไม่พอชำระหนี้ที่ค้างชำระ ผู้กู้ยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้จนกว่าจะครบถ้วน ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เพื่อดำเนินการตามสัญญากู้เงินต่อไป การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงมิใช่การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสอง แต่เป็นการส่งมอบรถยนต์ตามข้อสัญญากู้เงินข้อ 4.2 เพื่อให้โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เมื่อได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบ ส่วนปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงใดนั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์นำรถยนต์คันดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงิน 78,000 บาท นำไปหักชำระหนี้ที่ค้างชำระแล้ว เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 อันเป็นวันที่จำเลยชำระหนี้เป็นครั้งสุดท้ายจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อีก 115,378.56 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ที่จำเลยฎีกาว่า รถยนต์ของจำเลยที่นำมาเป็นหลักประกันมีมูลค่าคุ้มค่ากับเงินที่จำเลยกู้ยืมไปมิฉะนั้นโจทก์คงไม่รับรถยนต์ของจำเลยไว้เป็นหลักประกัน เห็นว่า จำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ารถยนต์ของจำเลยมีราคามีมูลค่าคุ้มค่ากับเงินที่จำเลยกู้ยืมไป ที่จำเลยฎีกาว่า ภาพถ่ายข้อมูลแสดงราคารถยนต์เป็นรถยนต์ที่ผลิตและมีสภาพภายนอกใกล้เคียงกับรถยนต์ของจำเลยและมีราคาขายไม่ต่ำกว่าคันละ 100,000 บาท หากรถยนต์ไม่สามารถขายได้ในราคาดังกล่าวเจ้าของรถยนต์คงไม่ประกาศขายไว้เช่นนั้นอีกทั้งโจทก์ไม่ได้คัดค้านจึงน่าเชื่อว่ารถยนต์ของจำเลยมีราคามากกว่าราคาที่โจทก์ขายทอดตลาดได้ เห็นว่า แม้ภาพถ่ายข้อมูลแสดงราคารถยนต์ที่ผลิตและมีสภาพภายนอกใกล้เคียงกับรถยนต์ของจำเลยเจ้าของรถยนต์จะประกาศขายในราคาขายไม่ต่ำกว่าคันละ 100,000 บาท และโจทก์ไม่ได้คัดค้านเอกสารดังกล่าว แต่จำเลยก็ไม่ได้นำเจ้าของรถยนต์ตามภาพถ่ายข้อมูลแสดงราคารถยนต์มาเบิกความยืนยันราคารถยนต์ดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์ของจำเลยมีราคาไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่อ ทำให้จำเลยเชื่อใจว่า โจทก์จะขายทอดตลาดรถยนต์ของจำเลยในราคาที่เหมาะสมจึงไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องนำรถยนต์ไปขายให้แก่ผู้อื่นนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เห็นว่า ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างอย่างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือ ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้เงินไม่ได้กำหนดให้โจทก์จะต้องแจ้งวันนัดขายทอดตลาดรถยนต์ของจำเลยให้จำเลยทราบมีลักษณะเป็นการจำกัดสิทธิของจำเลยเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เห็นว่า สัญญากู้เงินแม้ไม่ได้กำหนดว่า โจทก์ต้องแจ้งวันขายทอดตลาดให้จำเลยทราบ แต่มิใช่สัญญาที่ทำให้โจทก์ได้เปรียบจำเลยหรือมีลักษณะหรือมีผลให้จำเลยต้องปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ สัญญากู้เงินจึงไม่เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ที่จำเลยฎีกาว่า รถยนต์ของจำเลยมีราคาประเมิน 110,000 บาท แต่ขายทอดตลาดในราคา 78,000 บาท ต่ำกว่าราคาประเมินและมีผู้ประมูลเพียงรายเดียว หากจำเลยทราบวันขายทอดตลาดและมีโอกาสเข้ามาดูแลการขาย จำเลยอาจคัดค้านราคาขาย เห็นว่า ราคาประเมินรถยนต์ของจำเลยเป็นการประเมินราคาในชั้นต้น เพื่อประโยชน์ในการขายทอดตลาดเท่านั้น ราคาที่ประเมินไว้มิได้ผูกมัดโจทก์ หรือจำเลย หรือผู้มีส่วนได้เสียแต่ประการใด ในการขายทอดตลาดรถยนต์ของจำเลยจึงอาจได้ราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาที่ประเมินไว้ก็ได้ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ในฐานะตัวแทนของจำเลยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรอย่างวิญญูชน เมื่อโจทก์เห็นว่าผู้ให้ราคาสูงสุดราคายังต่ำกว่าราคาประเมินโจทก์ควรถอนทรัพย์ออกจากการขายทอดตลาด พฤติการณ์ของโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยประมาทและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เห็นว่า ฎีกาของจำเลยในเรื่องดังกล่าว จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วในศาลชั้นต้น ถือว่าเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยเรื่องมาตรการคืนรถจบหนี้ แม้จะเป็นเวลาหลังจากจำเลยนำรถยนต์มามอบให้โจทก์และขายทอดตลาดรถยนต์ของจำเลยไปแล้ว แต่เจตนารมณ์ของโจทก์ต้องการบรรเทาภาระหนี้ของลูกค้าในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำเลยในฐานะลูกค้าของโจทก์จึงควรได้รับประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวด้วย เห็นว่า มาตรการคืนรถจบหนี้เกิดหลังจากจำเลยนำรถยนต์มามอบให้โจทก์และโจทก์ขายทอดตลาดรถยนต์ไปแล้วไม่มีผลผูกพันโจทก์ จำเลยจะยกมาตรการดังกล่าวของโจทก์มาบังคับโจทก์ให้ยกหนี้ส่วนที่เหลือและปิดบัญชีให้แก่จำเลยไม่ได้เพราะเป็นเรื่องความพึงพอใจของโจทก์ฝ่ายเดียว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน จำเลยเป็นผู้บริโภคได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวง จึงให้คืนค่าขึ้นศาลและค่าใช้จ่ายในการส่งคำคู่ความชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)65/2567

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE