สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7028/2539

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7028/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 231, 271 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 680, 689, 690

ผู้ร้องนำที่ดินมาวางเป็นประกันต่อศาลเพื่อให้จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาโดยผู้ร้องทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลว่าถ้าจำเลยแพ้คดีโจทก์และไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนหนี้เท่าใดผู้ร้องยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่ผู้ร้องได้นำมาวางไว้เป็นประกันทันทีเป็นการทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลด้วยการนำที่ดินมาวางเป็นประกันต่อศาลทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกาเมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ศาลย่อมออกคำบังคับให้ผู้ร้องได้ทันทีโดยไม่ต้องฟ้องผู้ร้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา274ไม่ใช่กรณีที่ผู้ร้องทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ3ลักษณะ11เรื่องค้ำประกันดังนั้นจึงไม่อาจนำมาตรา689และ690แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้นต้องตามเงื่อนไขที่ผู้ร้องให้สัญญาต่อศาลว่าผู้ร้องยอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินที่ผู้ร้องวางเป็นประกันไว้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้ออกคำบังคับแก่ผู้ร้องได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ จำเลยฎีกาและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลฎีกามีคำสั่งว่า ถ้าจำเลยหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่ต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเวลา 7 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ในระหว่างฎีกาผู้ร้องและนายวิษณุ สกุลภิญโญ จึงได้ทำสัญญาไว้ต่อศาลยอมตนเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยผู้ร้องนำที่ดินโฉนดเลขที่49283 ส่วนนายวิษณุนำที่ดินแปลงอื่นรวม 5 แปลง มาเป็นหลักประกันในการทุเลาการบังคับคดีตามคำสั่งศาลฎีกาดังกล่าว ต่อมาศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยไม่ชำระศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่จำเลย โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำนองของจำเลยเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2535 วันเดียวกันนั้นโจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีแก่ผู้ร้องและนายวิษณุเพื่อยึดที่ดินที่ผู้ร้องและนายวิษณุนำมาวางเป็นหลักประกันไว้ อ้างว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้และทรัพย์จำนองมีราคาต่ำไม่พอชำระหนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ขอ และได้ออกหมายบังคับคดีลงวันที่ 22 มิถุนายน 2535 แต่ข้อความในหมายกลับระบุว่าให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดทรัพย์สินของจำเลย หลังจากนั้นผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเปลี่ยนหลักประกันหลายครั้งครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2536 โดยผู้ร้องขอเปลี่ยนเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 65026 มาเป็นหลักประกันแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นัดพร้อมเพื่อพิจารณาหลักประกันใหม่ก่อน แต่มิได้มีการนัดพร้อมครั้นวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2537 โจทก์ยื่นคำร้องว่าหมายบังคับคดีลงวันที่ 22 มิถุนายน 2535 ผิดพลาด ขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขศาลชั้นต้นให้นัดพร้อมใหม่ ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอเปลี่ยนหลักประกันของผู้ร้อง และสั่งคำร้องขอให้แก้ไขหมายบังคับคดีของโจทก์สำหรับผู้ร้องและนายวิษณุว่า โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีผู้ร้อง และนายวิษณุโดยโจทก์ยังไม่ได้ขอออกคำบังคับจึงไม่อาจออกหมายบังคับคดีได้ อย่างไรก็ตามให้ออกคำบังคับแก่ผู้ร้องและนายวิษณุผู้ค้ำประกัน

ผู้ร้อง อุทธรณ์ คำสั่ง ที่ ให้ ออกคำบังคับ แก่ ผู้ร้อง

ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน

ผู้ร้อง ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยมีสิทธิอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 และ 690ได้ ดังนั้นจึงต้องบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยก่อนหากไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์จึงค่อยบังคับคดีจากทรัพย์สินของผู้ร้อง ที่ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่ผู้ร้องทันทีจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า กรณีที่ผู้ร้องนำที่ดินมาวางเป็นประกันต่อศาลเพื่อให้จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาโดยผู้ร้องทำสัญญาค้ำประกันต่อศาลว่าถ้าจำเลยแพ้คดีโจทก์และไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนหนี้เท่าใด ผู้ร้องยอมให้บังคับคดีเอาจากหลักทรัพย์ที่ผู้ร้องได้นำมาวางไว้เป็นประกันทันที เป็นการทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลด้วยการนำที่ดินมาวางเป็นประกันต่อศาลทั้งนี้เพื่อให้ศาลทุเลาการบังคับคดีในระหว่างฎีกา เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ศาลย่อมออกคำบังคับให้ผู้ร้องได้ทันทีโดยไม่ต้องฟ้องผู้ร้องใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 ไม่ใช่กรณีที่ผู้ร้องทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 3 ลักษณะ 11 เรื่องค้ำประกัน ดังนั้น จึงไม่อาจนำมาตรา 689และ 690 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ บังคับตามที่ผู้ร้องฎีกา เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้นต้องตามเงื่อนไขที่ผู้ร้องให้สัญญาต่อศาลว่าผู้ร้องยอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินที่ผู้ร้องวางเป็นประกันไว้ศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้ออกคำบังคับแก่ผู้ร้องได้

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท เงินทุน สกุลไทย จำกัด ผู้ร้อง - นางสาว พนิดา พิพัฒน์ธราวงศ์ จำเลย - นาย ชาคริต กิติรัตน์ตระการ

ชื่อองค์คณะ ปราโมทย์ ชพานนท์ อุระ หวังอ้อมกลาง เสริม บุญทรงสันติกุล

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE