คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 57
ที่ดินพิพาทมีชื่อผู้ร้องสอดกับ ห. เจ้ามรดก เป็นเจ้าของรวมกัน หลังจากโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสาม และผู้ร้องสอดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องสอดได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่ ค. ค. จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทสืบต่อจากผู้ร้องสอด ทั้งในชั้นที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาตามยอมศาลชั้นต้นก็ให้ ค. เข้าไปมีส่วนร่วมในการนำชี้เพื่อแบ่งแยกด้วย จึงถือว่า ค. ได้เข้ามาในคดีและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้แบ่งที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่ที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้นำชี้อันเป็นการกระทบสิทธิของ ค. ค. ก็ย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม2538 ให้แบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 40 ไร่ 2 งาน 41 ตารางวา เป็นของผู้ร้องสอดในฐานะเจ้าของรวม 20 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ส่วนที่เหลือให้แบ่งออกเป็น 9 ส่วน เท่า ๆ กัน แก่ผู้ร้องสอด โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสาม และทายาทคือนางยอน ใจทอง นางบังอร ใจทอง คนละส่วนเท่า ๆ กันแต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถดำเนินการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้คู่ความได้ เนื่องจากที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ทั้งแปลงน้อยกว่าที่ระบุในหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) กับปรากฏว่าผู้ร้องสอดได้จดทะเบียนยกส่วนของตนตาม น.ส.3 ดังกล่าวให้แก่นางคำเพียร สินชู เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2538 ก่อนที่จะมีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาตามยอม และนางคำเพียร สินชู ผู้รับโอนที่ดินจากผู้ร้องสอดคัดค้านวิธีการแบ่งแยกที่ดิน ศาลชั้นต้นนัดพร้อมคู่ความ แล้วมีคำสั่งให้แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสาม ผู้ร้องสอด นางยอน ใจทอง และนางบังอรใจทอง โดยให้ด้านหนึ่งของที่ดินที่แบ่งแยกทุกแปลงติดทางสาธารณะ
นางคำเพียร สินชู อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์
นางคำเพียร สินชู ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของนางคำเพียร สินชู ว่า นางคำเพียร สินชู มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทมีชื่อผู้ร้องสอดกับนายหยู่ ใจทอง เจ้ามรดก เป็นเจ้าของรวมกันใน น.ส.3 หลังจากโจทก์ทั้งสาม จำเลยทั้งสาม และผู้ร้องสอดได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้ร้องสอดได้จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทส่วนของตนตาม น.ส.3 ดังกล่าว ให้แก่นางคำเพียร สินชู ตามสารบัญการจดทะเบียนด้านหลังสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ท้ายหนังสือเจ้าพนักงานที่ดิน และที่นางคำเพียร สินชู แนบมาท้ายคำแถลงลงวันที่ 17 เมษายน 2540 นางคำเพียร สินชู จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาทสืบต่อจากผู้ร้องสอด ทั้งในชั้นที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามคำพิพากษาตามยอมศาลชั้นต้นก็ให้นางคำเพียร สินชู เข้าไปมีส่วนร่วมในการนำชี้เพื่อแบ่งแยกด้วย จึงถือว่านางคำเพียร สินชู ได้เข้ามาในคดีและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้แบ่งที่ดินพิพาทตามรูปแผนที่ที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้นำชี้กระทบสิทธิของนางคำเพียร สินชู นางคำเพียร สินชู ย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่านางคำเพียร สินชู เป็นเพียงบุคคลภายนอกซึ่งรับโอนที่ดินจากผู้ร้องสอด หาใช่คู่ความที่จะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของนางคำเพียร สินชู ฟังขึ้น"
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับอุทธรณ์ของนางคำเพียร สินชู ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาง มอญ ทานะพันธ์ กับพวก โจทก์ - ผู้ร้องสอด โจทก์ - นาง ขน ใจทอง จำเลย - นาง พร ใจทอง กับพวก
ชื่อองค์คณะ สุรพล เจียมจูไร วินัย วิมลเศรษฐ ประชา ประสงค์จรรยา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan