ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โดยจำเลยทั้งสี่ยอมรับว่า จำเลยทั้งสี่ค้างชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน 22,083,004.19 บาท พร้อมดอกเบี้ย และตกลงจะชำระหนี้เป็นไปตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ กับตกลงชำระค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความแก่โจทก์ หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีทันที
วันที่ 27 ตุลาคม 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิแทนผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิมต่อศาล ผู้ร้องไม่มีอำนาจในการบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสี่ได้ทันกำหนดเวลาการบังคับคดี อีกทั้งผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิมก็ยังมิได้ตั้งเรื่องบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสี่ เป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสี่ได้ทันกำหนดเวลาการบังคับคดีเพราะใกล้จะหมดอายุความในการบังคับคดีแล้ว อันเป็นพฤติการณ์พิเศษ ขอให้มีคำสั่งขยายระยะเวลาการบังคับคดีออกไปอีก 180 วัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากหนี้ประธานพ้นกำหนดเวลาการบังคับคดี เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ยังคงมีสิทธิบังคับเอาจากทรัพย์สินจำนองได้ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการบังคับคดีตามคำร้อง ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ยกอุทธรณ์ของผู้ร้อง และให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลาการบังคับคดีของผู้ร้อง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องและมีเหตุที่จะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาสัญญาโอนสินทรัพย์ระหว่างบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิมกับผู้ร้อง ที่ผู้ร้องนำสืบได้ความว่า สัญญาโอนดังกล่าวกระทำขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ภายหลังจากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการชำระบัญชีบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2554 ใช้บังคับ ทั้งในสัญญาก็ระบุว่าบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยฝ่ายผู้โอนกระทำโดยประธานกรรมการชำระบัญชี และขณะทำสัญญาผู้โอนอยู่ระหว่างการชำระบัญชีตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว กรณีจึงรับฟังได้ว่าผู้ร้องรับโอนสินทรัพย์รายนี้จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยในขณะที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยดำเนินการชำระบัญชี ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการชำระบัญชีบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2554 ซึ่งตามมาตรา 16 วรรคหนึ่งแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว บัญญัติว่า ในการขายสินทรัพย์ประเภทสิทธิเรียกร้องให้แก่ผู้ซื้อ ให้บรรดาทรัพย์สิน หลักประกัน สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ หรือสิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันสิทธิเรียกร้องดังกล่าวตกแก่ผู้ซื้อด้วย วรรคสองบัญญัติว่า การขายสินทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง ให้รวมถึงสินทรัพย์ที่มีข้อพิพาทเป็นคดีอยู่ในศาลโดยให้ผู้ซื้อเข้าสวมสิทธิหรือเข้าเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวแทนที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ดังนี้ ผู้ร้องย่อมเข้าสวมสิทธิหรือเข้าเป็นคู่ความแทนบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยผู้เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์เดิมได้โดยผลของกฎหมายโดยผู้ร้องไม่จำต้องบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังจำเลยทั้งสี่ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องรับโอนสินทรัพย์รายนี้จากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยมาโดยชอบตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการชำระบัญชีบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ.2554 ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ และขอขยายเวลาการบังคับคดีได้ตามคำร้อง แม้ศาลชั้นต้นจะนัดไต่สวนคำร้องขอเข้าสวมสิทธิ และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์ได้เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2558 ภายหลังจากวันยื่นคำร้องและล่วงเลยเวลาการบังคับคดีแล้วก็ตาม หาทำให้ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการบังคับคดีและอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไม่ กรณีจึงฟังได้ว่าผู้ร้องมีอำนาจที่จะยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาการบังคับคดีได้ และเมื่อพิจารณาตามคำร้องของผู้ร้องว่า ขณะยื่นคำร้องคดีใกล้จะหมดระยะเวลาการบังคับคดีแล้ว ในวันเดียวกันผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอสวมสิทธิแทนผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิม ผู้ร้องยังไม่มีอำนาจในการบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองให้ทันกำหนดเวลาในการบังคับคดี และผู้สวมสิทธิแทนโจทก์เดิมยังมิได้ดำเนินการตั้งเรื่องบังคับคดีแต่อย่างใด ประกอบกับศาลชั้นต้นกำหนดนัดไต่สวนคำร้องขอสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องภายหลังรับคำร้องนานถึง 6 เดือนเศษ ซึ่งล่วงเลยระยะเวลาการบังคับคดีแล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวนับว่ามีพฤติการณ์พิเศษสมควรที่จะมีคำสั่งขยายระยะเวลาการบังคับคดีของผู้ร้องออกไปได้ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลาการบังคับคดีของผู้ร้อง และปัจจุบันล่วงเลยเวลาการบังคับคดีแล้ว กรณีถือว่ามีเหตุสุดวิสัยที่ทำให้ผู้ร้องไม่อาจดำเนินการบังคับคดีภายในกำหนดเวลาบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ศาลฎีกาเห็นสมควรอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการบังคับคดีให้ผู้ร้องออกไปเป็นเวลา 180 วัน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้แก่คู่ความฟัง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า อนุญาตขยายระยะเวลาการบังคับคดีให้แก่ผู้ร้องออกไป 180 วัน นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกานี้ให้แก่คู่ความฟัง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.37/2561
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









