ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสอง 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะดำเนินการโอนสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทคือที่ดินราชพัสดุตามทะเบียนราชพัสดุที่ อด.2513 โฉนดเลขที่ น.ส.ล.15247 ตำบลศรีสุทโธ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 25 ตารางวา คืนให้แก่โจทก์ที่ 1 หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยขอศาลออกหมายเรียกหรือหมายจับโจทก์ทั้งสองพร้อมบริวารซึ่งอาศัยทำกินในที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 2099/2549 ของศาลจังหวัดอุดรธานีจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 2 ออกจากสารบบความ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนด ค่าทนายความ 10,000 บาท

โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้โจทก์ที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยและค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทมีว่าโจทก์ที่ 1 มีสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด สิทธิการเช่าที่ดินพิพาทและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวจึงเป็นประเด็นหลักของคดี เป็นทรัพย์สินที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยต่างโต้เถียงกันว่ามีสิทธิการเช่า และอาจมีราคาที่คำนวณเป็นเงินได้จำนวนมาก เพราะสามารถใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินเป็นจำนวนเงินนับล้านบาทได้ และคิดค่าเสียหายจากการไม่จดทะเบียนโอนคืนให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงินนับแสนบาท แต่ศาลชั้นต้นมิได้เรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามราคาทุนทรัพย์ของสิทธิการเช่าและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินนั้น คงเรียกเก็บเฉพาะราคาทุนทรัพย์ในส่วนค่าเสียหาย 300,000 บาท เท่านั้น จึงคืนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินการประเมินราคาสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวแล้วเรียกเก็บค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้ครบถ้วนเสียก่อน เสร็จแล้วให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกาโดยเร็ว

ศาลชั้นต้นมีหนังสือถึงสำนักงานธนารักษ์พื้นที่อุดรธานีให้ประเมินราคาสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวตามที่โจทก์ที่ 1 และจำเลยแถลงขอต่อศาล สำนักงานธนารักษ์พื้นที่อุดรธานีประเมินราคาแล้วมีหนังสือแจ้งว่า สิทธิการเช่าที่ดินพิพาทมีมูลค่า 1,218,982.33 บาท ส่วนอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวหักค่าเสื่อมราคาแล้วมีมูลค่า 204,624 บาท ศาลชั้นต้นแจ้งการประเมินราคาดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 และจำเลยทราบแล้วในวันนัดพร้อม ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์ที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในส่วนที่ขาดภายในวันที่ 2 มิถุนายน 2558 วันที่ 26 พฤษภาคม 2558 โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องว่า เมื่อรวมทุนทรัพย์หลังจากมีการประเมินราคาสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวกับค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 1 ฟ้องแล้ว จะมีทุนทรัพย์สูงถึง 1,723,606.33 บาท เกินอำนาจของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงที่มีผู้พิพากษาเพียงคนเดียวพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาชอบที่จะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลล่างทั้งสอง ยกคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ที่ 1 วางต่อศาลให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามที่ศาลฎีกาจะเห็นสมควร เพื่อให้โจทก์ที่ 1 ไปดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นดำเนินการประเมินราคาสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทและอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวตามคำสั่งศาลฎีกาว่า สิทธิการเช่าที่ดินพิพาทมีมูลค่า 1,218,982.33 บาท ส่วนอาคารซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวหักค่าเสื่อมราคาแล้วมีมูลค่า 204,624 บาท โดยคู่ความมิได้คัดค้านราคาประเมินดังกล่าว คดีนี้จึงมีทุนทรัพย์ที่ฟ้องเกินกว่า 300,000 บาท อันทำให้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ศาลชั้นต้นต้องสั่งไม่รับฟ้อง ดังนั้นการพิจารณาคดีนี้ตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องจนถึงคดีเสร็จการพิจารณาและพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ที่ 1 ที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ อีกทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ตามมาก็ไม่ชอบเช่นกัน ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 (เดิม) เห็นสมควรให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาทั้งหมดตั้งแต่ชั้นรับฟ้องเป็นต้นไป

พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 พร้อมทั้งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องของศาลชั้นต้นเป็นไม่รับฟ้องโจทก์ทั้งสองและเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังจากนั้นทั้งหมด ยกอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นต้นให้แก่โจทก์ทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ให้แก่โจทก์ที่ 1 ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมอื่นทั้งสามศาลให้เป็นพับ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ทั้งสองที่จะยื่นฟ้องคดีใหม่ต่อศาลที่มีอำนาจต่อไป

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.1913/2558

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th