
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี รวมเป็นเงิน ๕๖,๘๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เห็นว่า การที่โจทก์จะเรียกเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปคืนได้นั้น กรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถตอนท้ายระบุว่า เมื่อบริษัทได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว แต่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือตามกรมธรรม์นี้ต่อผู้เอาประกันภัย เพราะกรณีดังกล่าวข้างต้นนั้นซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัย ผู้เอาประกันภัยต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนให้บริษัทภายใน ๗ วัน แสดงว่าโจทก์จะเรียกให้ผู้เอาประกันภัยใช้เงินคืนแก่โจทก์ได้เฉพาะกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัย แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า นายสมคิดเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันที่จำเลยได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ไปเฉี่ยวชนนายเจริญชัย หาใช่จำเลยซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวชนนายเจริญชัยและต้องรับผิดต่อนายเจริญชัยแต่อย่างใดไม่ กรณีไม่ต้องด้วยกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกให้จำเลยใช้จำนวนเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปคืน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นนี้ให้.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








