ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

Lawyer CTA
สมัครเป็นทนายออนไลน์ ง่ายๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย
เข้าถึงผู้ใช้เว็บไซต์กว่า 4 ล้านคน
ให้คำปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ค้นหามาตรา อัปเดตฎีกา ครบ จบ ในที่เดียว
ในทุกๆ ชั่วโมงมีคำปรึกษาใหม่จากลูกความ ที่รอทนายตอบอยู่
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์วัดแหลมไผ่ ร่วมกันรับค่าจ้างหรือเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวรวมเป็นเงิน 137,950 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 มาตรา 28, 56 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

จำเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 มาตรา 28 (ที่ถูก มาตรา 28 วรรคหนึ่ง),56 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 4 เดือน จำเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ2 เดือน

จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ว่า สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยดังกล่าวหรือไม่เห็นว่า วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 นั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการที่สมาชิกจะช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย หาได้เป็นไปเพื่อให้ผู้ใดผู้หนึ่งแสวงหาประโยชน์ในทางการค้าหรือแสวงหากำไรแต่อย่างใดไม่ พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 จึงมีลักษณะสำคัญประการหนึ่งในการควบคุมการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และมีบทกำหนดโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนเพื่อป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากกิจการนี้โดยมิชอบ การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์วัดแหลมไผ่ ร่วมกันรับค่าจ้างหรือเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยตามรายงานการสืบเสาะและพินิจซึ่งฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านได้ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 หักเงินจำนวนร้อยละ 4 จากเงินสงเคราะห์ที่สมาคมเรียกเก็บจากสมาชิก เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตายในแต่ละครั้ง แล้วนำมาจัดสรรแบ่งกัน ทั้ง ๆ ที่เงินสงเคราะห์ในส่วนนั้นควรจะตกเป็นประโยชน์แก่ญาติของสมาชิกที่ถึงแก่ความตาย ซึ่งโดยปกติก็เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยในชนบทและเป็นผู้ที่ค่อนข้างยากไร้ในสังคมอยู่แล้ว อีกทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ก็หาได้รู้สำนึกถึงความผิดของตนกลับให้ถ้อยคำต่อพนักงานคุมประพฤติว่าไม่ประสงค์จะชดใช้เงินที่ได้รับไปคืนให้แก่สมาคม เพิ่งจะมาชดใช้เงินคืนให้แก่สมาคมหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดแล้ว ปรากฏตามบันทึกการใช้เงินคืนแนบท้ายฎีกา แสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ไม่มีเจตนาจะชดใช้เงินคืนมาตั้งแต่แรก พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 จึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ฟังไม่ขึ้น"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th