สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7443/2537

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7443/2537

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2517 ม. 30, 33, 34, 38

ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517มาตรา 33 และ 34 ผู้มีส่วนได้เสียต้องคัดค้านเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัด ถ้าไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางคือ กรณีของโจทก์ปรากฎว่านางสมบูรณ์ภรรยาโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ไปคัดค้าน เมื่อหัวหน้าหน่วยรังวัดจัดรูปที่ดินแก้ไขจัดรูปที่ดินให้ใหม่ โจทก์ก็มิได้ดำเนินการอย่างใดต่อไปอีก การคัดค้านดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการคัดค้านต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดหรือถ้าจะถือว่าเป็นการคัดค้านต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดแต่เมื่อมีการแก้ไขให้โจทก์ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้นโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางแต่อย่างใดคงปล่อยให้มีการออกโฉนดที่ดินใหม่ในที่ดินที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน โดยโจทก์ได้รับที่ดินเนื้อที่ 17 ไร่เศษจำเลยที่ 2 ได้รับ 10 ไร่เศษ หลังจากได้รับโฉนดที่ดินมาแล้วโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงได้คัดค้านขอให้แก้ไขโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง กรณีเช่นนี้มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านการจัดรูปที่ดินให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย กลับปล่อยให้มีการดำเนินการจนกระทั่งออกโฉนดที่ดิน และเนื่องจากการจัดรูปที่ดินมีผลทำให้สิทธิครอบครองของโจทก์ในที่ดินเดิมเปลี่ยนไปเพราะมาตรา 30 และ 38ให้อำนาจคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจัดที่ดินใหม่โดยให้เจ้าของที่ดินเดิมได้รับที่ดินแปลงเดิมหรือที่ดินแปลงเดิมบางส่วนหรือได้รับที่ดินแปลงใหม่ก็ได้ ดังนั้นเมื่อทางราชการจัดที่ดินให้โจทก์ใหม่เนื้อที่ 17 ไร่ 3.8 ตารางวา การครอบครองของโจทก์ย่อมเปลี่ยนไปตามที่ทางการจัดรูปที่ดินให้ใหม่ที่พิพาทเนื้อที่ 2 ไร่เศษอยู่ในโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2ตามที่ทางราชการจัดให้ใหม่ ย่อมทำให้โจทก์หมดสิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท และเป็นประธานกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดชัยนาทเดิมโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 58 เนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา ซึ่งอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินทั้งแปลงส่วนโจทก์ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 59เนื้อที่ 21 ไร่ 15 ตารางวา ต่อมาโจทก์ที่ 3 และที่ 4 ได้โอนที่ดินส่วนหนึ่งเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา ให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อสร้างคลองส่งน้ำสาธารณะประโยชน์ผ่านกลางที่ดินคลองสายนี้ได้แบ่งที่ดินออกเป็น 2 ส่วน ตามโครงการจัดรูปที่ดินโดยส่วนที่อยู่ด้านฝั่งคลองทิศตะวันออกเฉียงใต้ เนื้อที่ 8 ไร่80 ตารางวา อยู่นอกเขตโครงการจัดรูปที่ดิน และนางสมบูรณ์ แก้วสุขภรรยาโจทก์ที่ 1 ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1320ในที่ดินส่วนนี้ไปแล้ว ส่วนที่ดินที่อยู่ด้านฝั่งคลองทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ 6 ไร่ 3 งาน 97.3 ตารางวา อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน โจทก์ทั้งสี่จึงมีที่ดินอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินรวมเนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน 37 ตารางวา และโจทก์ทั้งสี่ได้ขอออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินรวมเป็นฉบับเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 2 เดิมเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 388 เนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 66 ตารางวา และต่อมาได้โอนที่ดินดังกล่าวบางส่วนให้แก่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อสร้างคลองส่งน้ำสาธารณะประโยชน์ผ่านกลางที่ดินเช่นกัน ที่ดินของจำเลยที่ 2 ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่อยู่ด้านฝั่งคลองทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอยู่นอกเขตโครงการจัดรูปที่ดิน กับส่วนที่อยู่ด้านฝั่งครองทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินมีเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 98 ตารางวา แต่สำนักงานจัดรูปที่ดินได้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อและประทับตราประจำตำแหน่งให้แก่จำเลยที่ 2ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยออกโฉนดที่ดินเลขที่ 12479 ตำบลโพงามอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ระบุเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน31.9 ตารางวา ซึ่งมากกว่าเนื้อที่จริง 2 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวาและออกโฉนดที่ดินเลขที่ 12126 ตำบลโพงาม อำเภอสรรคบุรีจังหวัดชัยนาท ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ระบุเนื้อที่ 17 ไร่ 3.8 ตารางวาซึ่งน้อยว่าเนื้อที่จริง 2 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา ทำให้รูปที่ดินตามโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 ล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ แต่โจทก์ทั้งสี่ยังคงครอบครองทำประโยชน์เต็มตามเนื้อที่ดินซึ่งโจทก์ทั้งสี่มีสิทธิอยู่ก่อนการจัดรูปที่ดินและได้โต้แย้งความผิดพลาดดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแก้ไขเนื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12126 ของโจทก์ทั้งสี่ให้มีเนื้อที่ 19 ไร่2 งาน 37 ตารางวา และแก้ไขเนื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12479 ของจำเลยที่ 2 ให้มีเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 98 ตารางวา

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท และในฐานะประธานคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดชัยนาทได้ดำเนินการจัดรูปที่ดินตามอำนาจในพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517 ตามขั้นตอนและได้ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 12126 ตำบลโพงาม อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาทเนื้อที่ 17 ไร่ 3.8 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทั้งสี่ ซึ่งมากกว่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่มีอยู่ตาม ส.ค.1 ก่อนจัดเขตรูปที่ดิน และออกโฉนดที่ดินเลขที่ 12479 เนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 31.9 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2 ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมายมิได้ประมาทเลินเล่อแต่อย่างใดในการจัดรูปที่ดินเจ้าของที่ดินอาจได้รับที่ดินแปลงเดิมหรือแปลงเดิมเพียงบางส่วน หรือจัดที่ดินแปลงใหม่ให้อยู่ใกล้เคียงกับแปลงเดิม และในที่ดินที่ได้รับใหม่มีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าสุทธิของที่ดินเดิมเท่าที่จะกระทำได้ ทั้งในระหว่างการจัดรูปที่ดินโจทก์ทั้งสี่ได้ทราบและให้ข้อเท็จจริงแก่เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 ตลอดมาไม่เคยคัดค้านว่าขั้นตอนในการจัดรูปที่ดินจนถึงการออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่ไม่ถูกต้องแต่ประการใด โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้รับความเสียหายหรือถูกโต้แย้งสิทธิ และนำคดีมาฟ้องโดยไม่สุจริตจึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 388 ตำบลโพงามอำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท มีเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวาต่อมาเจ้าของเดิมได้แบ่งขายให้แก่กระทรวงการคลังเพื่อการชลประทานเนื้อที่ 3 ไร่ 40 ตารางวา แล้วโอนขายที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ 11 ไร่ 1 งาน 66 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในเขตจัดรูปที่ดิน ในการจัดรูปที่ดินเจ้าของที่ดินต้องสละที่ดินให้แก่ส่วนรวมร้อยละเจ็ดของที่ดิน และอาจไม่ได้อยู่ในที่ดินเดิมบางส่วน เมื่อจัดรูปที่ดินเสร็จแล้วจำเลยที่ 2 ได้อยู่ในที่ดินแปลงเดิมบางส่วนและที่ดินแปลงข้างเคียงซึ่งเดิมเป็นของโจทก์ทั้งสี่บางส่วนรวมเป็นเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 31.9 ตารางวาโฉนดที่ดินเลขที่ 12479 ออกโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองแก้ไขเนื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12126 ของโจทก์ทั้งสี่ให้มีเนื้อที่ 19 ไร่ 1 งาน32 ตารางวา และแก้ไขเนื้อที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12479 ของจำเลยที่ 2 ให้มีเนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 98 ตารางวา

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอแก้ไขเนื้อที่ดินในโฉนดที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินของโจทก์ไป 2 ไร่ 2 งาน34 ตารางวา จำเลยทั้งสอง ให้การว่า การออกโฉนดที่ดินกระทำโดยชอบและที่ดินเป็นของจำเลยที่ 2 จึงพิพาทกันด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ตามคำให้การจำเลยที่ 2 ปรากฎว่าที่ดินพิพาทขณะยื่นฟ้องราคาประเมินไร่ละ 14,000 บาท จึงมีราคาไม่เกิน 200,000 บาทต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสองที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า เดิมโจทก์ทั้งสี่มีที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) จำนวน 2 แปลง ตามเอกสารหมายป.ล.1 และ ป.ล.2 เลขที่ 58 เนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 40 ตารางวาเลขที่ 59 เนื้อที่ 21 ไร่ 15 ตารางวา ได้โอนให้ทางราชการเพื่อทำคลองส่งน้ำ 5 ไร่ 3 งาน 75 ตารางวา และนางสมบูรณ์ แก้วสุขภรรยาโจทก์ที่ 1 ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเนื้อที่ 8 ไร่ 80 ตารางวา เหลือที่ดินเนื้อที่ 17 ไร่ 3 งาน ซึ่งเป็นที่ดินอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ส่วนจำเลยที่ 2 มีที่ดินอยู่ 1 แปลง ตามเอกสารหมาย ล.7 เนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 6 ตารางวาได้แบ่งให้ทางราชการเพื่อทำคลองส่งน้ำจำนวน 3 ไร่ 40 ตารางวายังเหลือที่ดิน 11 ไร่ 1 งาน 66 ตารางวา คลองส่งน้ำแบ่งที่ดินจำเลยที่ 2 ออกเป็น 2 แปลง แปลงหนึ่ง เนื้อที่ 1 ไร่เศษ ส่วนที่เหลืออยู่ฝั่งหนึ่งของคลองส่งน้ำ ซึ่งอยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินและอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินเช่นเดียวกันเมื่อทางราชการจัดรูปที่ดินได้ใช้ที่ดินบางส่วนทั้งของโจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 2 มีเนื้อที่ไม่เกินร้อยละเจ็ดของมูลค่าที่ดินเพื่อจัดการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและใช้ประโยชน์ร่วมกันในที่ดินทุกแปลงที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน เมื่อได้ดำเนินการจัดรูปที่ดินและประกาศให้เจ้าของที่ดินทราบ ปรากฎว่าโจทก์ทั้งสี่ได้รับที่ดินเนื้อที่ 12.6012 ไร่ จำเลยที่ 2 ได้รับเนื้อที่ 7.9995 ไร่ ตามเอกสารหมาย ป.ล.1 นางสมบูรณ์ภรรยาโจทก์ที่ 1 จึงได้คัดค้าน ทางหัวหน้าหน่วยรังวัดจัดรูปที่ดินจึงได้แก้ไขให้ใหม่ โจทก์ทั้งสี่ได้รับที่ดินเนื้อที่ 17 ไร่ 3.8 ตารางวา จำเลยที่ 2 ได้รับเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 31.9 ตารางวา ตามเอกสารหมายป.ล.3 และทางสำนักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดชัยนาทได้ส่งหลักฐานให้ที่ดินจังหวัดชัยนาทจัดการออกโฉนดที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินต่อไปจำเลยที่ 1 ได้จัดการออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับที่ดินเนื้อที่ 17 ไร่ 3.8 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12126 เมื่อปี 2527 และจำเลยที่ 2 ได้รับที่ดินเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน31.9 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 12479 เมื่อปี 2528 เมื่อได้รับโฉนดที่ดินมาแล้ว ทางจำเลยที่ 2 ได้รังวัดสอบเขตที่ดินที่ได้รับการจัดรูปที่ดิน ปรากฎว่าล้ำเข้าไปในที่ดินที่โจทก์ทั้งสี่ครอบครองอยู่ 2 ไร่เศษ ที่ดินส่วนนี้โจทก์ทั้งสี่อ้างว่าได้ครอบครองมาก่อนจะทำการจัดรูปที่ดิน เนื่องจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ตามหลักฐานส.ค.1 มีเพียง 31 ไร่เศษ แต่โจทก์ทั้งสี่ได้ครอบครองอยู่จริงถึง34 ไร่ 3 งาน 75 ตารางวา และโจทก์ได้คัดค้านขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่แก้ไขโฉนดที่ดินของโจทก์ให้ถูกต้อง จำเลยไม่ยอมแก้ไข

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในการจัดรูปที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดิน ตามพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2517มาตรา 33 ให้คณะกรรมการจัดรูปที่ดินจัดหวัดปิดประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตโครงการจัดรูปที่ดิน เมื่อประกาศแล้ว มาตรา 34 ให้ผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิขอตรวจสอบและคัดค้านเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินต่อต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดภายใน 60 วัน เมื่อมีการคัดค้านคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดมีอำนาจสอบสวนและเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ และวินิจฉัยสั่งการไปตามที่เห็นสมควร และแจ้งคำวินิจฉัยนั้นไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้อง บุคคลที่เกี่ยวข้องหากไม่พอใจในคำวินิจฉัยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางภายใน30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัย ตามกฎหมายดังกล่าวเห็นว่าการคัดค้านนั้นต้องคัดค้านต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดถ้าไม่พอใจคำวินิจฉัยของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางอีกกรณีของโจทก์ปรากฎว่านางสมบูรณ์ภรรยาโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ไปคัดค้าน พอหัวหน้าหน่วยรังวัดจัดรูปที่ดินแก้ไขจัดรูปที่ดินให้ใหม่ โจทก์ก็มิได้ดำเนินการอย่างใดต่อไปอีก การคัดค้านดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการคัดค้านต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัด หรือถ้าจะถือว่าเป็นการคัดค้านต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัด แต่เมื่อมีการแก้ไขให้โจทก์ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้น โจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางแต่อย่างใด คงปล่อยให้มีการออกโฉนดที่ดินใหม่ในที่ดินที่อยู่ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินโดยโจทก์ได้รับที่ดินเนื้อที่ 17 ไร่เศษจำเลยที่ 2 ได้รับ 10 ไร่เศษ หลังจากได้รับโฉนดที่ดินมาแล้ว โจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องจึงได้คัดค้านขอให้แก้ไขโฉนดที่ดินให้ถูกต้อง กรณีเช่นนี้มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจังหวัดต่อคณะกรรมการจัดรูปที่ดินกลางแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มิได้คัดค้านการจัดรูปที่ดินให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายกลับปล่อยให้มีการดำเนินการจนกระทั่งออกโฉนดที่ดินและเนื่องจากการจัดรูปที่ดินมีผลทำให้สิทธิครอบครองของโจทก์ในที่ดินเดิมเปลี่ยนไปเพราะมาตรา 30และ 38 ให้อำนาจคณะกรรมการจัดรูปที่ดินจัดที่ดินใหม่โดยให้เจ้าของที่ดินเดิมได้รับที่ดินแปลงเดิมหรือที่ดินแปลงเดิมบางส่วน หรือได้รับที่ดินแปลงใหม่ก็ได้ ดังนั้นเมื่อทางราชการจัดที่ดินให้โจทก์ใหม่เนื้อที่ 17 ไร่ 3.8 ตารางวา การครอบครองของโจทก์ย่อมเปลี่ยนไปตามที่ทางการจัดรูปที่ดินให้ใหม่ ที่พิพาทเนื้อที่ 2 ไร่เศษอยู่ในโฉนดที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามที่ทางราชการจัดให้ใหม่ ย่อมทำให้โจทก์หมดสิทธิครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

พิพากษากลับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นาย สวย แก้ว สุข กับพวก จำเลย - ผู้ว่าราชการจังหวัด ชัยนาท ใน ฐานะ ประธาน คณะกรรมการ จำเลย - จัด รูป ที่ดิน จังหวัด ชัยนาท กับพวก

ชื่อองค์คณะ ก้าน อันนานนท์ ไพศาล รางชางกูร อัครวิทย์ สุมาวงศ์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th