สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177, 225 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 26

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จำเลยให้การว่าเคยกู้ยืมเงินโจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 และเดือนกรกฎาคม 2556 แต่ชำระหนี้โจทก์หมดสิ้นแล้วนั้น แม้การยื่นคำให้การในคดีผู้บริโภคจะไม่เคร่งครัดเพราะตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 บัญญัติว่า ในกรณีที่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้เท่านั้น แต่การจะให้การรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ส่วนไหนอย่างไรย่อมเป็นเจตนาอิสระของคู่ความ หาใช่หน้าที่ของศาลที่จะต้องทวงถามให้จำเลยให้การในส่วนนี้ไม่ ทั้งมิใช่กรณีคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญ เมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธการกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จึงถือว่าจำเลยยอมรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้ดังกล่าวในฟ้องแล้ว แม้จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินและไม่ได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 แต่เป็นการที่โจทก์นำมูลหนี้กู้ยืมที่ระงับแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ ก็เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ต่อสู้ในคำให้การ ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างมาในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์นำยอดเงินในสัญญากู้ฉบับก่อนมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวชอบแล้ว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงิน 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายสุวรรณ คดีนี้โจทก์มอบอำนาจให้นายสุรชัย เป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทน จำเลยเคยกู้ยืมเงินนายสุวรรณหลายครั้งก่อนนายสุวรรณถึงแก่กรรม โดยนายสุวรรณคิดดอกเบี้ยเงินกู้สูงกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกมีว่า คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งหรือไม่ เห็นว่า แม้การยื่นคำให้การในคดีผู้บริโภคจะไม่เคร่งครัดเช่นการยื่นคำให้การในคดีแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ดังจำเลยฎีกาก็ตาม แต่การจะให้การรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ส่วนไหนอย่างไรย่อมเป็นเจตนาอิสระของคู่ความ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 บัญญัติว่า ในกรณีที่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้เท่านั้น ที่จำเลยฎีกาว่า คำให้การว่าจำเลยเคยกู้ยืมเงินโจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 และชำระหนี้โจทก์หมดสิ้นแล้ว มีความหมายอยู่ในตัวว่า จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ด้วยนั้น ตามคำให้การจำเลยหาได้ให้การแต่เพียงนั้นไม่ จำเลยยังให้การต่อไปว่า หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2558 จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ให้ธนาคารได้ จำเลยจึงไปขอรับเงินคืนจากนายสุวรรณและทำสัญญากู้อีก 150,000 บาทให้ไว้ ซึ่งโจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ 996/2564 ของศาลชั้นต้น (ส่วนคดีนี้เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ 995/2564 ของศาลชั้นต้น) โดยไม่ชอบเพราะได้รวมจำนวนเงินที่จำเลยและสามีชำระคืนนายสุวรรณไปแล้ว 780,000 บาทมาฟ้องด้วย ทั้งที่จำเลยและสามีได้กู้ยืมเงินนายสุวรรณไปเป็นต้นเงินเพียง 650,000 บาทเท่านั้น จึงชำระเกินไป 130,000 บาทแล้ว ต่อมาเดือนกันยายน 2560 บุตรนายสุวรรณนำเอกสารมาให้จำเลยลงชื่อรับสภาพหนี้รวม 820,000 บาท และวันที่ 9 พฤษภาคม 2564 นางพลอยผู้จัดการมรดกนายสุวรรณจะนำหนังสือรับสภาพหนี้ 619,000 บาทมาให้จำเลยลงชื่ออีก แต่จำเลยไม่ยอมลงชื่อ ตามคำให้การดังกล่าวเมื่อจำเลยให้การว่า การกู้ยืมเงินเมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 เป็นต้นเงิน 200,000 บาท การกู้ยืมเงินเมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 เป็นต้นเงิน 300,000 บาท เมื่อรวมกับต้นเงินที่ให้การว่าไปกู้อีกครั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2558 อีก 150,000 บาท จึงเป็นต้นเงินกู้ 650,000 บาท ดังนั้น ที่ให้การว่าได้ชำระเงินกู้เป็นต้นเงิน 650,000 บาทไปหมดแล้ว จึงหมายถึงการกู้เงินเมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 เดือนกรกฎาคม 2556 และเดือนมีนาคม 2558 ไม่อาจแปลความว่า หมายรวมถึงว่าไม่ได้กู้เงินนายสุวรรณตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ตามฟ้องดังฎีกาได้ นอกจากนั้น หลังจากจำเลยให้การครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 แล้ว จำเลยยังยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การอีก 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2564 และวันที่ 6 มกราคม 2565 จำเลยก็ไม่ได้ยกขึ้นปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 แต่อย่างใด ทั้งที่มีโอกาสแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การหลายครั้ง คดีนี้จำเลยมีทนายความแก้ต่าง ตามคำให้การจำเลยดังกล่าวทั้งหมดแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาและข้อต่อสู้ของตนดี และประสงค์จะให้การแต่เพียงนั้น หาใช่หน้าที่ของศาลที่จะต้องทวงถามให้จำเลยให้การในส่วนนั้นส่วนนี้ไม่ ทั้งมิใช่กรณีคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญ เมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธการกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จึงเป็นอันฟังได้ว่าจำเลยยอมรับว่าได้กู้ยืมเงินนายสุวรรณตามสัญญากู้ตามฟ้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า คำให้การจำเลยไม่ได้ปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าไม่ได้ทำสัญญากู้ จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินนายสุวรรณตามฟ้องหรือไม่อีกนั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการต่อไปมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในปัญหาว่า โจทก์นำยอดเงินในสัญญากู้ฉบับก่อนมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ตอนต้นแล้วว่า คำให้การจำเลยไม่ได้ให้การเกี่ยวกับสัญญากู้ตามฟ้อง จึงไม่มีคำให้การว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินและไม่ได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้ แต่เป็นการที่โจทก์นำมูลหนี้กู้ยืมที่ระงับแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ดังฎีกาเช่นกัน แม้จำเลยจะนำสืบความข้อนี้ในชั้นพิจารณา ก็เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ต่อสู้ไว้ในคำให้การ ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์จำเลยดังกล่าวชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

อนึ่ง โจทก์รับมาในฟ้องแล้วว่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่กำหนดไว้ในสัญญาอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน นั้นเป็นดอกเบี้ยอัตราผิดกฎหมาย และมิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าว หากฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระดอกเบี้ยผิดนัดในฐานที่มีหนี้ต้องชำระต้นเงินกู้คืนโจทก์ แต่สัญญากู้ มิได้กำหนดชำระต้นเงินคืนไว้ตามวันแห่งปฏิทิน จำเลยจะตกเป็นผู้ผิดนัดก็ต่อเมื่อโจทก์ทวงถาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 ซึ่งโจทก์มิได้นำสืบให้รับฟังได้เช่นนั้น เอกสารหมาย จ.5 ก็เป็นเพียงการแจ้งยอดเงินที่ยังค้างให้จำเลยทราบเท่านั้น จึงต้องถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันทำสัญญากู้วันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปี คิดเป็นดอกเบี้ย 50,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 250,000 บาท ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)266/2567

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE