ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีตามแบบแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เลขที่ ฝ.1 ต.1/1038/1/43061-43062ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2529 และตามแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้าเลขที่ ฝ.1 ต.1/1038/3/04555-04556 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2529ทั้ง 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 4,404,700.63 บาท และให้ปล่อยการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 90 หน้าสำรวจ 93 แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรีกรุงเทพมหานคร ด้วย
ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 ฟ้องโจทก์จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7(1) และมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 7(2) จึงไม่จำต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน นั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้และภาษีการค้าเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2529 เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินดังกล่าวอยู่ในช่วงระยะเวลาที่พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 ยกเว้นการเรียกตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีจนกว่าจะถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2529 อันเป็นการยกข้อกล่าวอ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเจ้าพนักงานประเมินทำการประเมินโดยไม่มีอำนาจเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14)พ.ศ. 2529 มาตรา 30 โจทก์จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องศาลได้ โดยไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก่อน ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 55/2530 ระหว่าง นางเปลี่ยน รัชตะทรัพย์โจทก์ กรมสรรพากร กับพวก จำเลย อย่างไรก็ตาม ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรที่จะได้รับยกเว้นการเรียกตรวจสอบไต่สวนประเมินหรือสั่งให้เสียภาษีอากร ตามมาตรา 30 แห่งพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14) พ.ศ. 2529 นั้น จะต้องเป็นผู้ที่ได้ยื่นคำขอเสียภาษีอากรตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด ภายในเดือนกรกฎาคม 2529 และได้ชำระภาษีอากรตามจำนวนที่ต้องเสียตามมาตรานี้ ภายในระยะเวลาและหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดซึ่งต้องไม่เกินสองปีนับแต่วันยื่นคำขอด้วย แต่ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอเสียภาษีและชำระภาษีตามหลักเกณฑ์และภายในระยะเวลาตามพระราชกำหนดดังกล่าวแต่อย่างใด โดยโจทก์ยังคงกล่าวอ้างและยืนยันในคำฟ้องปฏิเสธว่า โจทก์ไม่มีเงินได้ และไม่ได้กระทำการค้าที่จะต้องเสียภาษี กรณีของโจทก์จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับยกเว้นการเรียกตรวจสอบไต่สวน ประเมิน หรือมีคำสั่งให้เสียภาษีตามพระราชกำหนด ดังกล่าว คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่อาจรับไว้พิจารณาพิพากษาได้
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









