คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 27, 201
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยที่ 1 มาศาล ส่วนผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทนายโจทก์ จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บังคับให้ศาลต้องสอบถามจำเลยที่มาศาลก่อน แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่มาศาลต้องแจ้งต่อศาลในวันหรือก่อนวันสืบพยานว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งต่อศาลชั้นต้นในวันหรือก่อนวันสืบพยานโจทก์ว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอันจะต้องเพิกถอนไม่
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่เช่าซื้อคันแรกเป็นเงิน 350,035 บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 39,581 บาท ค่าขายรถยนต์ขาดทุนเป็นเงิน 359,458 บาท ค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถเป็นเงิน 165,487 บาท กับให้นำรถยนต์ที่เช่าซื้อคันที่สองในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีมาคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 1,438,432 บาท ค่าใช้ประโยชน์เป็นเงิน 594,733 บาท และอีกเดือนละ 22,000 บาท จนกว่าจำเลยทั้งสามจะนำรถยนต์ในสภาพใช้การได้ดีมาคืนโจทก์กับค่าภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 65,583 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเช่าซื้อ
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ในวันนัดสืบพยาน โจทก์ไม่มาศาลและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาให้ศาลทราบ ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า การที่ศาลสั่งจำหน่ายคดีโดยไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 1ก่อนว่ามีความประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปหรือไม่นั้น เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบขอให้เพิกถอน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะเพิกถอน ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์ทนายจำเลยที่ 1 มาศาล ส่วนผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ทนายโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนคดี ถือว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ 1 เพียงว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความโดยไม่ได้สอบถามจำเลยที่ 1 ก่อนว่าจะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปหรือไม่ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบชอบที่จะต้องเพิกถอนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 วรรคหนึ่ง ไม่ได้บังคับให้ศาลต้องสอบถามจำเลย แต่เป็นเรื่องที่จำเลยต้องแจ้งต่อศาลในวันหรือก่อนวันสืบพยานว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ศาลชั้นต้นจึงไม่จำต้องสอบถามจำเลยที่ 1 ก่อนว่าจะให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปหรือไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้แจ้งต่อศาลชั้นต้นในวันหรือก่อนวันสืบพยานโจทก์ว่าตนตั้งใจจะให้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้หาเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอันจะต้องเพิกถอนไม่
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท จุติพาณิชย์ จำกัด จำเลย - นาง อุไร รสเกิด กับพวก
ชื่อองค์คณะ ประชา ประสงค์จรรยา วินัย วิมลเศรษฐ สุรพล เจียมจูไร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan