สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7735/2555

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7735/2555

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 456

ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม นอกจะบัญญัติให้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติอีกว่า "…หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว…" ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เช่นกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการซื้อขายต้นอ้อย โจทก์และจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายหรือมีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ แต่ในวันที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ได้ส่งมอบกรรมสิทธิ์ต้นอ้อยให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อันถือได้ว่าโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือส่งมอบต้นอ้อยให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาต้นอ้อยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 115,195 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 112,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 112,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันที่ 31 มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,695 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของต้นอ้อยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินเนื้อที่ 15 ไร่ ตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ จำเลยตกลงซื้อต้นอ้อยจากโจทก์ในราคาไร่ละ 7,500 บาท รวมเป็นเงิน 112,500 บาท จำเลยตกลงชำระราคาให้แก่โจทก์ครบถ้วน โดยมิได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ หลังจากตกลงกันจำเลยก็เข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล แต่เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยไม่ชำระ โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย

มีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระค่าต้นอ้อยให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การซื้อขายต้นอ้อยระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคากว่าสองหมื่นบาทโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของจำเลยผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญและจำเลยไม่ได้วางประจำหรือชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีจำเลยได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสาม นอกจากจะบัญญัติให้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติไว้อีกว่า "…หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว…" ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เช่นกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการซื้อขายต้นอ้อยกันโจทก์และจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขาย หรือได้มีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ แต่ในวันที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ได้ส่งมอบกรรมสิทธิ์ต้นอ้อยให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อันถือได้ว่าโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือส่งมอบต้นอ้อยให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาต้นอ้อยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.2711/2554

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางหมุน ช่างสูงเนิน จำเลย - นายบุญกอง เจริญศักดิ์

ชื่อองค์คณะ ปดารณี ลัดพลี วิรุฬห์ แสงเทียน ฉัตรไชย จันทร์พรายศรี

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดภูเขียว - นายเอกชัย นุชิต ศาลอุทธรณ์ภาค 3 - นายสุนทร เฟื่องวิวัฒน์

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th