คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7965/2559
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90
ยาเสพติดให้โทษของกลางที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองในขณะเกิดเหตุ มีอยู่ 2 จำนวน จำนวนแรกเป็นเฮโรอีนจำนวน 82 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 18,721.813 กรัม และจำนวนที่ 2 เป็นเฮโรอีนผสมมอร์ฟีน จำนวน 1 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของมอร์ฟีนได้ 27.930 กรัม การที่ยาเสพติดให้โทษของกลางจำนวนที่ 2 เป็นเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ผสมมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 และจำเลยทั้งสองร่วมกันครอบครองรวมกันไป ย่อมไม่อาจแบ่งแยกเจตนาในการครอบครองต่างหากออกจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวนแรกไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 17, 66, 69, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบยาเสพติดให้โทษ กระสอบปุ๋ย กระเป๋าเดินทางและชิ้นส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคสาม (3)), 17 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสาม, 69 วรรคหนึ่ง (ที่ถูก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นพิจารณา จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) (2) ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต ฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 51 ปี แต่ให้จำคุกทั้งสิ้นเพียง 50 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตได้เพียงสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) สำหรับของกลางให้ริบ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุก 50 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยโจทก์กับจำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านรับฟังได้เบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง พันตำรวจโทบุญส่ง ร้อยตำรวจโทธีรสิทธิ และสิบตำรวจโทมงคล กับพวก เจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมกันจับกุมจำเลยทั้งสองพร้อมยึดเฮโรอีนและเฮโรอีนผสมมอร์ฟีนเป็นของกลาง ส่งมอบพันตำรวจโทราชัน พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน 4 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ดำเนินคดี ซึ่งเฮโรอีนและเฮโรอีนผสมมอร์ฟีนของกลาง ปรากฏผลการตรวจพิสูจน์โดยนางสาวกัญญนันทน์ นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ (สบ 1) สถาบันวิชาการและตรวจพิสูน์ยาเสพติด สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ว่า เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 82 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 18,721.813 กรัม และเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 โดยผสมปนอยู่กับเฮโรอีนจำนวน 1 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 27.930 กรัม คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกมีว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 2 ตามคำเบิกความของพันตำรวจโทบุญส่งและร้อยตำรวจโทธีรสิทธิมีสาระสำคัญเชื่อมโยงเหตุการณ์เป็นลำดับขั้นตอนอย่างมีเหตุและผลสอดคล้องต้องตรงกัน ปราศจากพิรุธ อันจะเป็นเหตุให้มีข้อระแวงสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตรวจพิเคราะห์ภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน ยังปรากฏว่า บริเวณที่พันตำรวจโทบุญส่งซุ่มดูเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุบนระเบียงหน้าห้องพักชั้นสองของอพาร์ตเมนต์ ที เอส โฮม บิวดิ้ง เป็นพื้นที่โล่งสามารถมองเห็นเหตุการณ์ขณะที่จำเลยที่ 2 เปิดประตูให้จำเลยที่ 1 ลากกระเป๋าเดินทางสีดำของกลางเข้าไปในห้องพักหมายเลข 308 ในขณะเกิดเหตุได้เป็นอย่างดี ข้อเท็จจริงย่อมรับฟังเป็นยุติเชื่อได้ว่า ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 นำกระเป๋าเดินทางสีดำของกลางซึ่งมีเฮโรอีนและเฮโรอีนผสมมอร์ฟีนของกลางซุกซ่อนอยู่ภายในเข้าไปเก็บพักไว้ในห้องพักหมายเลข 308 เมื่อเฮโรอีนของกลางปรากฏผลการตรวจพิสูจน์ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 82 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 18,721.813 กรัม ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของกลาง หากถูกจับกุมต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่หนึ่งล้านบาทถึงห้าล้านบาท หรือประหารชีวิต ลักษณะในการกระทำความผิดจึงต้องดำเนินการในทางลับระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน เพื่อป้องกันมิให้ล่วงรู้ถึงเจ้าพนักงานอันจะเป็นเหตุให้ถูกจับกุมดำเนินคดีต้องโทษฉกรรจ์ การที่จำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ร่วมกับพวกกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 นำกระเป๋าเดินทางสีดำของกลางซึ่งมีเฮโรอีนและเฮโรอีนผสมมอร์ฟีนของกลางซุกซ่อนอยู่ภายในเข้าไปเก็บพักไว้ในห้องพักหมายเลข 308 ย่อมเป็นพฤติเหตุแวดล้อมอันมีเหตุและผลเพียงพอที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 เจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนและเฮโรอีนผสมมอร์ฟีนของกลางไว้ในครอบครอง พยานหลักฐานจากคำเบิกความตามทางนำสืบต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ในชั้นพิจารณาที่อ้างว่า ในวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 เพียงแต่อยู่ภายในห้องพักหมายเลข 328 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิด โดยมีจำเลยที่ 1 มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุน แต่จำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ต้องหาว่าร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 อาจเบิกความช่วยเหลือจำเลยที่ 2 มิให้ต้องรับโทษ ย่อมไม่มีน้ำหนักรับฟังหักล้างพยานโจทก์ เมื่อเฮโรอีนของกลางมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 18,721.813 กรัม ต้องตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3) ที่ให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีย่อมฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง อันเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาในข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ยาเสพติดให้โทษของกลางที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีไว้ในครอบครองในขณะเกิดเหตุ มีอยู่ 2 จำนวน จำนวนแรกเป็นเฮโรอีน จำนวน 82 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 18,721.813 กรัม และจำนวนที่ 2 เป็นเฮโรอีนผสมมอร์ฟีน จำนวน 1 แท่ง คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ของมอร์ฟีนได้ 27.930 กรัม การที่ยาเสพติดให้โทษของกลางจำนวนที่ 2 เป็นเฮโรอีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ผสมมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 และจำเลยทั้งสองร่วมกันครอบครองรวมกันไป ย่อมไม่อาจแบ่งแยกเจตนาในการครอบครองต่างหากออกจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวนแรกไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เพียงบทเดียว ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3), 17 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสาม, 69 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครอง เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษประหารชีวิต ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.1883/2559
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลย - นายหยาง เจิ้ง หยู กับพวก
ชื่อองค์คณะ วิชิต ลีธรรมชโย ชำนาญ รวิวรรณพงษ์ ชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลอาญา - นายตรัสร์ บวรวัฒนานนท์ ศาลอุทธรณ์ - นายขจรศักดิ์ อำไพสัมพันธกุล