สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8061/2555

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8061/2555

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 57 (1)

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและเรียกค่าเสียหาย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ผู้ร้องสอดร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม แต่คำร้องของผู้ร้องสอดอ้างเพียงว่าผู้ร้องสอดครอบครองที่ดินบางส่วนโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องสอดมิได้กล่าวอ้างว่า ผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับจำเลยแต่อย่างใดที่จะถือว่าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ข้ออ้างของผู้ร้องสอดเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธ์ในที่พิพาทกับโจทก์ทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ผู้ร้องสอดมีสิทธิในที่พิพาทอยู่เพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้น หากศาลพิพากษาขับไล่จำเลยย่อมไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดี จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1) ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิร้องเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่พิพาทและส่งมอบการครอบครองที่ดินแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายบริวารออกจากที่ดินและส่งมอบการครอบครองที่ดินคืนแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความขอให้พิพากษาว่าผู้ร้องสอดมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอด

โจทก์คัดค้านขอให้ยกคำร้องสอด

ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ผู้ร้องสอดไม่มีสิทธิร้องเข้ามาเป็นคู่ความ การที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องสอด จึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง ให้เพิกถอนคำสั่ง และมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับคำร้องสอด

ผู้ร้องสอดอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของผู้ร้องสอดที่ว่า ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม เพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอด ไม่ชอบ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและเรียกค่าเสียหาย จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ คำร้องสอดของผู้ร้องอ้างเพียงว่าผู้ร้องสอดครอบครองที่ดินบางส่วนโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทบางส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องสอดมิได้กล่าวอ้างว่าผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับจำเลยแต่อย่างใด ที่จะถือว่าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม ข้ออ้างของผู้ร้องสอดดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทกับโจทก์ทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ผู้ร้องมีสิทธิในที่พิพาทอยู่เพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้น หากศาลพิพากษาขับไล่จำเลยย่อมไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดีนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ คำร้องของผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิร้องเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ผู้ร้องสอดอ้างมา ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นไม่รับคำร้องสอด ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องสอดฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.2049/2552

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - นายปิยพงษ์ บูรณไมตรี ผู้ร้องสอด - นางวรรษณีย์ ก้านทอง จำเลย - นายมนัส ก้านทอง

ชื่อองค์คณะ สรรทัศน์ เอี่ยมวรชัย ปริญญา ดีผดุง ธัชพันธ์ ประพุทธนิติสาร

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดขอนแก่น - นายไพศิษฐ์ รักกิจศิริกุล

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th