คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8084/2567
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/14 (1), 193/14 (2), 193/15, 193/30, 193/33 (1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 145 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 20 วรรคสอง
คำวินิจฉัยของศาลล้มละลายกลางในคดีที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. ลูกหนี้ และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความแล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และบริษัท อ. ลูกหนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ส่วนจำเลยที่ 2 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นคำร้องขอถอนคำร้อง และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำร้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความก่อนที่ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. จำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว โจทก์จะกล่าวอ้างหรือโต้เถียงให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากเดิมว่าหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่ขาดอายุความหาได้ไม่ แม้จำเลยทั้งหกไม่ได้เป็นคู่ความในคดีล้มละลายด้วย แต่เมื่อเป็นกรณีคำพิพากษาผูกพันคู่ความแล้ว จึงต้องรับฟังว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความแล้ว จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์
หนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี รวมทั้งคำขอตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 20 วรรคสอง เป็นเรื่องทำสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกและออกตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้แก่เจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ แต่เมื่อโจทก์มิได้มีคำขอบังคับตามตั๋วสัญญาใช้เงิน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 การยื่นคำร้องในคดีล้มละลายขอให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดและพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ได้บรรยายถึงภาระหนี้ที่ค้างชำระว่า ลูกหนี้มีภาระเงินต้นค้างชำระเป็นเงินต้นจำนวนเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ แม้ตามคำร้องจะไม่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่าเป็นภาระหนี้จากสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก แต่ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าบริษัท อ. มีภาระหนี้อยู่ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน และสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกเท่านั้น ย่อมถือว่าการบรรยายคำร้องในคดีล้มละลายได้บรรยายถึงภาระหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกไว้แล้ว การยื่นคำร้องขอในคดีล้มละลายดังกล่าวถือว่าเจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลงเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (2) และ 193/15 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 ลูกหนี้ยื่นอุทรณ์ต่อศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพาษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลงจึงพอถือได้ว่าเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีล้มละลายดังกล่าว อย่างไรก็ตามแม้นับแต่วันที่มีการยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คือวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ก็ยังไม่พ้นระยะเวลา 10 ปี ทั้งเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 มีการทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระหว่างบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย กับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน อันถือเป็นการรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 2 ได้ทำต่อเจ้าหนี้ จึงทำให้อายุความในส่วนจำเลยที่ 2 สะดุดหยุดลง และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 แต่ในส่วนดอกเบี้ยค้างชำระไม่ว่าดอกเบี้ยจะค้างชำระอยู่นานเท่าใด เมื่อฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความคิดดอกเบี้ยไว้ โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องย้อนหลังไปได้เพียง 5 ปี เท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (1)
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงิน 858,721,860.41 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.780 ต่อปีของต้นเงิน 238,881,308.81 บาท เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 4 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ขอสละประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชำระเงิน 32,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 32,000,000 บาท นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 4 ร่วมชำระเงินในยอดต้นเงินดังกล่าว แต่รับผิดไม่เกิน 30,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 30,000,000 บาท นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เดิมบริษัท อ. และจำเลยทั้งหกเป็นลูกค้าของธนาคาร น. สำนักเพชรบุรี บริษัท อ. เปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคาร น. สำนักเพชรบุรี วันที่ 9 มีนาคม 2535 บริษัท อ. กู้เบิกเงินเกินบัญชีเพื่อเดินสะพัดในบัญชีกระแสรายวันกับธนาคาร น. ในวงเงิน 2,000,000 บาท ยินยอมเสียดอกเบี้ยตามสัญญา วันที่ 9 สิงหาคม 2542 บริษัท อ. ทำสัญญากู้เงินจากธนาคาร น. 32,000,000 บาท ยินยอมเสียดอกเบี้ยตามข้อตกลงในสัญญา และบริษัท อ. ขอวงเงินสินเชื่อประเภทแพ็คกิ้งเครดิตภายในวงเงินสินเชื่อตามที่ได้รับอนุมัติจากธนาคาร น. เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายใต้เงื่อนไขของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ ตลอดจนระเบียบประเพณีปฏิบัติของธนาคาร น. หลังจากขอวงเงินสินเชื่อแล้วระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2543 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2543 บริษัท อ. ใช้วงเงินสินเชื่อเพื่อการส่งออกเป็นทุนในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตสินค้าและ/หรือการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายต่างประเทศตามคำสั่งซื้อหรือตามสัญญาซื้อขายรวม 30 สัญญา สัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกดังกล่าว บริษัท อ. ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้ไว้แก่ธนาคาร น. โดยมีข้อตกลงตามสัญญาว่าเมื่อภาระหนี้จากการขอสินเชื่อเพื่อการส่งออกถึงกำหนดและ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระเงินแล้ว บริษัท อ. จะชำระเงินตามภาระหนี้จากการขอสินเชื่อเพื่อการส่งออกและ/หรือตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ธนาคาร น. พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามข้อตกลงในสัญญา เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำขอเปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวัน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน สัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกและ/หรือหนี้สินทุกประเภทของ บริษัท อ. ทั้งที่มีอยู่แล้วในขณะทำสัญญาและจะมีขึ้นต่อไปในภายหน้า จำเลยทั้งหกผูกพันตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ โดยเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534 จำเลยที่ 6 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท วันที่ 2 ตุลาคม 2534 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท วันที่ 10 ตุลาคม 2534 จำเลยที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท วันที่ 9 มีนาคม 2535 จำเลยที่ 1 และที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 30,000,000 บาท วันที่ 10 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 172,000,000 บาท วันที่ 22 สิงหาคม 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 1,026,813.28 บาท วันที่ 2 ตุลาคม 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 79,800 เหรียญสหรัฐอเมริกาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 145,000,000 บาท วันที่ 6 กรกฎาคม 2541 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 3,900,000 บาท วันที่ 16 กรกฎาคม 2541 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 643,479.60 เหรียญสหรัฐอเมริกา และเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2541 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ในวงเงิน 724,264.40 เหรียญสหรัฐอเมริกา แต่บริษัท อ. ผิดนัดชำระหนี้จนทำให้ภาระหนี้สินดังกล่าวเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจึงมีการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายนี้จากธนาคาร น. เจ้าหนี้เดิมให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ต่อมามีการยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อ. และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2547 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยจึงยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 2,909,581.35 บาท หนี้เงินกู้ 43,858,890.41 บาท และหนี้ตามสัญญาใช้เงินเพื่อการส่งออก 350,584,931.51 บาท เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้เงินกู้ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. ที่ 1 นายบุญชัย ที่ 2 ตามมาตรา 58 วรรคท้าย แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 และพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลาย วันที่ 31 มกราคม 2554 มีการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย กับ บริษัท อ. โดยจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน สัญญาปรับโครงสร้างหนี้มีข้อตกลงว่าจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันมีความประสงค์จะชำระหนี้ในส่วนของผู้ค้ำประกันตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2535 มีการรับรองยอดหนี้ในมูลนี้เดิมและยอมรับสภาพหนี้ว่า ณ วันที่ 15 ตุลาคม 2544 ลูกหนี้มีหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยตามมูลหนี้เดิมค้างชำระแบ่งเป็นเงินต้นค้างชำระ 277,681,308.81 บาท ดอกเบี้ยค้างชำระ 38,626,468.51 บาท และเงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ผู้ค้ำประกันตกลงชำระหนี้เงินต้นให้แก่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย 10,000,000 บาท ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2554 ชำระหนี้ 28,800,000 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2554 ผู้ค้ำประกันตกลงยินยอมรับแผนปรับโครงสร้างหนี้เป็นแผนปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2535 เท่านั้น บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย ตกลงถอนคำร้องตามมาตรา 58 แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 หรือถอนฟ้องคดีล้มละลาย (ถ้ามี) เมื่อผู้ค้ำประกันได้ลงนามในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และชำระเงิน 10,000,000 บาทเรียบร้อยแล้ว… หลังจากทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ 38,800,000 บาท ตามข้อตกลงในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยจึงยื่นคำร้องขอถอนคำร้อง ส่วนลูกหนี้ที่ 2 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ ส่วนคดีในส่วนลูกหนี้ที่ 1 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 มาตรา 58 วรรคสี่ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 ลูกหนี้ที่ 1 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2559 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2559 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยโอนทรัพย์สินและหลักประกันด้อยคุณภาพของลูกหนี้ในคดีนี้ รวมทั้งสิทธิเรียกร้องซึ่งได้แก่ สิทธิจำนอง สิทธิจำนำ หรือสิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 และหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวแม้ศาลล้มละลายกลางได้มีคำวินิจฉัยไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.3846/2555 ที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. ลูกหนี้และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย โดยศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 และวินิจฉัยถึงมูลหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2535 ว่าผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานรายการเดินสะพัดทางบัญชีมาแสดงว่ามีการเดินสะพัดทางบัญชีหรือไม่อย่างไรหรือมีการผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด จึงไม่พอให้รับฟังว่ามีหนี้ตามสัญญาดังกล่าวอยู่จริง ทั้งสัญญาทำมาแล้วร่วม 20 ปี เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้ายเมื่อใด หากมีหนี้ ณ วันทำสัญญาหรือผิดนัดในปีที่ทำสัญญา หนี้ย่อมขาดอายุความที่จะบังคับตามสัญญาแล้ว… จากคำวินิจฉัยของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวเท่ากับวินิจฉัยว่าไม่มีภาระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ลูกหนี้ต้องรับผิดหรือถ้ามีคดีก็ขาดอายุความแล้ว และคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลล้มละลายกลางดังกล่าว ศาลฎีกาพิพากษายืน คำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีล้มละลายดังกล่าวบุคคลที่เป็นคู่ความคือ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยและบริษัท อ. ส่วนจำเลยที่ 2 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอถอนคำร้องและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนคำร้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความตั้งแต่ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. จำเลยที่ 2 จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว คำพิพากษาในคดีล้มละลายที่วินิจฉัยถึงมูลหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงผูกพันเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย และบริษัท อ. นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสียถ้าหากมี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 โจทก์จะกล่าวอ้างหรือโต้เถียงให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้แตกต่างไปจากเดิมว่าหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชี ยังไม่ขาดอายุความหาได้ไม่ แม้จำเลยทั้งหกในคดีนี้จะไม่ได้เป็นคู่ความในคดีล้มละลายด้วย แต่เมื่อเป็นกรณีคำพิพากษาผูกพันคู่ความแล้ว จึงต้องรับฟังว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความแล้ว จำเลยทั้งหกจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีต่อโจทก์ ส่วนหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกที่โจทก์ฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีรวมทั้งคำขอบังคับตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 20 วรรคสอง เป็นเรื่องทำสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกและออกตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้ไว้แก่เจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ แต่ข้อตกลงตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกมีข้อตกลงว่า… เมื่อภาระหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกถึงกำหนดและ/หรือตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดชำระแล้ว บริษัท อ. จะชำระเงินตามภาระหนี้จากการขอสินเชื่อเพื่อการส่งออกและ/หรือตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่เจ้าหนี้… สภาพแห่งข้อหาของโจทก์และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแม้เป็นเรื่องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกและตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่โจทก์มิได้มีคำขอบังคับตามตั๋วสัญญาใช้เงิน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเฉพาะสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก ซึ่งสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 สัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกทำสัญญาช่วงระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2543 ถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2543 และหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกถึงกำหนดชำระหนี้ตามสัญญาฉบับแรกเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 ส่วนสัญญาฉบับถัดไปถึงกำหนดชำระหนี้หลังจากนั้น โดยฉบับสุดท้ายถึงกำหนดชำระหนี้วันที่ 25 เมษายน 2544 และข้อเท็จจริงยังรับฟังได้ว่าหลังจากบริษัท อ. ทำสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกกับธนาคาร น. แล้วมีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินจึงมีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2547 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ วันที่ 14 มกราคม 2548 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในหนี้เบิกเงินเกินบัญชี 2,909,581.35 บาท หนี้เงินกู้ 43,858,890.41 บาท และหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก 350,584,931.51 บาท ในคดีขอฟื้นฟูกิจการ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้เงินกู้ ระยะเวลาที่โจทก์ผู้รับโอนซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกเมื่อนับถึงวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการโดยไม่ต้องนับแต่วันที่มีการยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการก็มีระยะเวลาเพียง 3 ปี 7 เดือนเศษ ทั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2548 เมื่อนับแต่วันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกฉบับแรกถึงวันยื่นคำขอรับชำระหนี้ก็มีระยะเวลาเพียง 3 ปี 10 เดือนเศษ การยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท อ. ต่อศาลล้มละลายกลางนั้นย่อมทำให้เจ้าหนี้ไม่สามารถยื่นฟ้องคดีแพ่งเอากับลูกหนี้ได้ แต่ถ้าอายุความหรือระยะเวลาเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาและการบังคับคดีที่ถูกห้ามมิให้ดำเนินการครบกำหนดก่อนวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนหรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดหรือจะครบภายในหกเดือนนับแต่วันดังกล่าวให้อายุความหรือระยะเวลานั้นยังไม่ครบกำหนดจนกว่าจะพ้นกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่วันดังกล่าวแล้วแต่กรณี แต่ถ้าอายุความหรือระยะเวลานั้นตามกฎหมายมีน้อยกว่าหนึ่งปีก็ให้นำอายุความหรือระยะเวลาที่สั้นกว่าดังกล่าวนั้นมาใช้แทนกำหนดเวลาหนึ่งปีดังกล่าว ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 90/12 และมาตรา 90/15 และเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้วบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยนำมูลหนี้ในคดีนี้ยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามที่วินิจฉัยไปแล้ว จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14 (3) และมาตรา 193/15 ดังนั้นระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีขอฟื้นฟูกิจการดังกล่าวจึงไม่นับเข้าในอายุความและต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด และต่อมาเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอต่อศาลล้มละลายกลางขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. ตามมาตรา 58 แห่งพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์บริษัท อ. เด็ดขาดตามพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 มาตรา 58 วรรคสี่ เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 และศาลฎีกาพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2559 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2559 แม้ข้อเท็จจริงในคดีฟื้นฟูกิจการจะไม่ปรากฏถึงเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/15 วรรคสอง โดยข้อเท็จจริงรับฟังได้เพียงว่ามีการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีขอฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2548 กรณีจึงต้องรับฟังว่าวันที่ 14 มกราคม 2548 เป็นวันที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลงและต้องเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2548 เมื่อนับถึงวันที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัท อ. ลูกหนี้ และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 มีระยะเวลา 5 ปี 9 เดือนเศษ ยังไม่พ้น 10 ปี แต่ในส่วนของดอกเบี้ยค้างชำระนั้น ไม่ว่าดอกเบี้ยจะค้างชำระอยู่นานเท่าใด เมื่อฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้เรื่องอายุความคิดดอกเบี้ยไว้โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องย้อนหลังไปได้เพียง 5 ปี เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (1) การยื่นคำร้องในคดีคดีล้มละลายขอให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดและพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยได้บรรยายถึงภาระหนี้ที่ค้างชำระว่าลูกหนี้มีภาระหนี้เงินต้นค้างชำระ 277,681,308.81 บาท ดอกเบี้ย 38,626,468.51 บาท กับบรรยายถึงภาระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินไว้ด้วย แม้คำร้องจะไม่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งว่าเป็นภาระหนี้จากสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก แต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่าภาระหนี้ที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องในคดีล้มละลายเป็นภาระหนี้เดียวกับที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ ประกอบกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ก็รับฟังได้เพียงว่าบริษัท อ. ลูกหนี้มีภาระหนี้อยู่ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน และสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกเท่านั้น กรณีจึงถือได้ว่าการยื่นคำร้องในคดีล้มละลายดังกล่าวได้บรรยายถึงภาระหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกไว้แล้ว การยื่นคำร้องขอในคดีล้มละลายดังกล่าวถือได้ว่าเจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14 (2) และมาตรา 193/15 ส่วนข้อเท็จจริงที่อ้างว่าเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 แล้วมีการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ข้อเท็จจริงส่วนนี้ก็ไม่ปรากฏว่ามีพยานเอกสารใดระบุว่ามีการยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตั้งแต่เมื่อใดและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้หรือไม่อย่างไร ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงถึงเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใดให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/15 วรรคสอง ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีล้มละลายดังกล่าวก็ได้ความว่าลูกหนี้ที่ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 ลูกหนี้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำพิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2559 ลงวันที่ 22 มีนาคม 2559 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใดจึงพอถือได้ว่าเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีล้มละลายดังกล่าวให้คู่ความฟัง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อนับแต่วันที่มีการยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงถึงวันที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คือวันที่ 29 กรกฎาคม 2559 ยังไม่พ้นระยะเวลา 10 ปี ทั้งข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 มีการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยกับจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกัน โดยจำเลยที่ 2 ยอมรับว่ามีเงินต้นค้างชำระ ดอกเบี้ยค้างรับ กับมีเงื่อนไขการผ่อนชำระหนี้ และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ให้ไปบางส่วน สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยที่ 2 ได้ทำต่อเจ้าหนี้จึงทำให้อายุความในส่วนจำเลยที่ 2 สะดุดหยุดลง และต้องเริ่มนับอายุความใหม่ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (1) และมาตรา 193/15 ด้วย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกไม่ขาดอายุความ แต่ในส่วนดอกเบี้ยค้างชำระก่อนฟ้องที่นับย้อนหลังขึ้นไปเกินกว่า 5 ปี และหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาข้ออื่นของโจทก์ในปัญหาข้อนี้เป็นฎีกาที่ไม่ทำให้ผลคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องพิจารณา
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาข้อต่อไปมีว่าจำเลยทั้งหกในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน และสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด ปัญหาข้อนี้ในส่วนของสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกแม้ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย แต่คดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะพิจารณาพิพากษาได้ และเพื่อมิให้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาใหม่ โดยศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 9 สิงหาคม 2542 จำนวน 32,000,000 บาทนั้น ศาลล่างทั้งสองไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นหนี้ที่ขาดอายุความ และคู่ความไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้าน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้องยังไม่ขาดอายุความ ส่วนหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นหนี้ที่ขาดอายุความ จำเลยทั้งหกในฐานะผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สำหรับหนี้สัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกนั้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าอายุความสะดุดหยุดลง จึงทำให้ไม่ขาดอายุความ อายุความที่สะดุดหยุดลงดังกล่าวเป็นโทษแก่ลูกหนี้ย่อมเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันด้วยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 692 และภาระหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก 30 สัญญา รวมเป็นต้นเงิน 244,998,000 บาท และสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 9 สิงหาคม 2542 จำนวน 32,000,000 บาท ที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เป็นภาระหนี้เดียวกับที่ขอรับชำระหนี้ในคดีขอฟื้นฟูกิจการและยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดและพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามที่วินิจฉัยไปแล้ว และข้อเท็จจริงก็ได้ความเพียงว่าหลังจากมีการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 จำเลยที่ 2 ชำระเงินตามเงื่อนไขในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยไปเป็นเงิน 38,800,000 บาท และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีล้มละลายดังกล่าวตามข้อตกลงในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เท่านั้น ซึ่งปัญหาข้อนี้จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ในทำนองว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ยอมทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้ให้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ย่อมทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากภาระหนี้ทั้งหมด โดยก่อนลงลายมือชื่อในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ฝ่ายเจ้าหนี้ก็แจ้งว่าจำเลยที่ 2 มีภาระหนี้ตามข้อตกลงในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เท่านั้น จำเลยที่ 2 ก็นำสืบอ้างแต่เพียงลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบสนับสนุน ทั้งยังขัดแย้งกับข้อตกลงในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่ระบุว่าผู้ค้ำประกันตกลงยินยอมรับแผนปรับโครงสร้างหนี้ตามสัญญาเป็นแผนปรับโครงสร้างหนี้เฉพาะสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2535 เท่านั้น จากข้อตกลงในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงเฉพาะตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2535 ไม่เกี่ยวกับสัญญาค้ำประกันฉบับอื่น และการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงสถานะที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบธุรกิจก่อนมีการลงลายมือชื่อในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ จำเลยที่ 2 มีที่ปรึกษากฎหมายพิจารณาถึงผลได้ผลเสียตามข้อตกลงในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ก่อนแล้วจึงมีการลงลายมือชื่อ จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 เข้าใจข้อตกลงตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เป็นอย่างดีแล้ว กรณีจึงมิใช่ข้อตกลงที่จะทำให้จำเลยที่ 2 เสียเปรียบอันเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ข้อตกลงตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าวจึงมีผลทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 30 มีนาคม 2535 เท่านั้น หาทำให้หลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 2 ตุลาคม 2534 ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ไม่ ส่วนการชำระหนี้ของจำเลยที่ 2 จำนวน 38,800,000 บาท ก็หาทำให้หนี้ตามสัญญากู้เงินจำนวน 32,000,000 บาท ระงับสิ้นไปเพราะการชำระหนี้จำนวนดังกล่าวเป็นไปตามเงื่อนไขตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งไม่มีข้อตกลงว่าเป็นการชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินอันจะทำให้สัญญากู้เงินไม่มีภาระหนี้ ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่าหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก ลูกหนี้ชั้นต้นค้างชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยจำนวนมาก การชำระหนี้ในกรณีที่มีดอกเบี้ยค้างชำระจำนวนมากก็ต้องนำไปหักชำระดอกเบี้ยก่อน ภาระหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 9 สิงหาคม 2542 จึงหาระงับสิ้นไปไม่ และปัญหาเรื่องภาระหนี้ตามสัญญากู้เงินกับสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออก โจทก์มีนายไพบูลย์ ลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งพนักงานบัญชีเบิกความว่าเป็นผู้คำนวณดอกเบี้ยและภาระหนี้โดยคำนวณจากภาระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้และเป็นผู้ตรวจสอบแบบแสดงรายการคำนวณภาระหนี้ การคำนวณดอกเบี้ยคำนวณจากดอกเบี้ยอ้างอิงตามประกาศของโจทก์ ปัญหาเรื่องภาระหนี้ตามแบบแสดงรายการคำนวณภาระหนี้ที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานหลักฐานดังกล่าวแม้ฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งคัดค้านว่าการคำนวณในส่วนดอกเบี้ยและเงินต้นไม่ถูกต้อง แต่ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่าภาระหนี้ที่โจทก์คำนวณดังกล่าวคำนวณจากภาระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน และสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกรวมกันมาไม่ได้คิดภาระหนี้แยกแต่ละสัญญา แต่หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 2,000,000 บาท ซึ่งจัดทำตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2535 ขาดอายุความ จึงทำให้ความรับผิดในต้นเงินและดอกเบี้ยน้อยลงซึ่งเป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกัน ทั้งการคำนวณภาระหนี้ตามแบบแสดงรายการคำนวณภาระหนี้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดในอัตราที่ค่อนข้างสูงไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเจ้าหนี้อาศัยข้อตกลงตามสัญญากู้เงินและสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกซึ่งลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับ เมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ดีหรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเบี้ยปรับ ถ้าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 และมาตรา 383 แม้การคำนวณภาระหนี้ โจทก์จะคำนวณรวมกันมาตามที่วินิจฉัยไปแล้ว ทั้งภาระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีที่ขาดอายุความแม้จะมีวงเงินตามสัญญาเพียง 2,000,000 บาท แต่หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้มีกำหนดระยะเวลาตามข้อสัญญา เจ้าหนี้ก็สามารถนำเงินที่ค้างชำระทบเข้าเป็นต้นเงินได้ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาตารางรายละเอียดการคำนวณหนี้แนบท้ายคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการแล้ว จะเห็นได้ว่า ณ วันที่ 14 มกราคม 2548 ซึ่งเป็นวันที่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการ มีการระบุรายละเอียดการคำนวณภาระหนี้แยกเป็นแต่ละสัญญาไว้ดังต่อไปนี้ หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี มีต้นเงินค้างชำระ 2,033,308.81 บาท ดอกเบี้ย 876,272.54 บาท รวมเป็นเงิน 2,909,581.35 บาท หนี้เงินกู้มีต้นเงินค้างชำระ 30,650,000 บาท ดอกเบี้ย 13,208,890.41 บาท รวมเป็นเงิน 43,858,890.41 บาท และหนี้ตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกมีต้นเงินค้างชำระ 245,000,000 บาท ดอกเบี้ย 105,584,931.51 บาท รวมเป็นเงิน 350,584,931.51 บาท ซึ่งเมื่อนำเฉพาะยอดต้นเงินค้างชำระของภาระหนี้ทั้งสามสัญญารวมเป็นเงิน 277,683,308.81 บาท มาเปรียบเทียบกับยอดต้นเงินค้างชำระตามที่ระบุไว้ในแบบแสดงการคำนวณภาระหนี้ จะเห็นได้ว่า ยอดต้นเงินคงเหลือนับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2544 คำนวณถึงวันฟ้อง จะมีจำนวนลดลงจากยอดต้นเงิน 277,681,308.81 บาท คงเหลือยอดต้นเงิน 238,881,308.81 บาท ซึ่งเป็นยอดต้นเงินที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ แม้ยอดต้นเงินดังกล่าวจะเป็นการคำนวณภาระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญากู้เงิน และสัญญาสินเชื่อเพื่อการส่งออกรวมกันมา โดยไม่ได้แยกเป็นต้นเงินคงเหลือในแต่ละสัญญาก็ตาม แต่เมื่อยอดต้นเงินมีการลดลงตามลำดับโดยไม่ปรากฏว่ามียอดต้นเงินเพิ่มขึ้น กรณีเชื่อได้ว่าหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมิได้มีการนำดอกเบี้ยค้างชำระมาทบเข้าเป็นเงินต้นอีกแต่อย่างใดและถือได้ว่ายอดต้นเงินตามที่ปรากฏในตารางรายละเอียดการคำนวณหนี้แนบท้ายคำร้องขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการ จำนวน 2,033,308.81 บาท เป็นต้นเงินค้างชำระเฉพาะสำหรับหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี จึงเห็นควรหักต้นเงินที่คำนวณถึงวันฟ้อง จากต้นเงิน 238,881,308.81 บาท ออก 2,033,308.81 บาท คงเหลือต้นเงิน 236,848,000 บาท ส่วนดอกเบี้ยค้างชำระที่โจทก์คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 619,749,961.60 บาท นั้น เมื่อวินิจฉัยมาแล้วข้างต้นว่า ดอกเบี้ยค้างชำระโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องย้อนหลังขึ้นไปได้เพียง 5 ปี เท่านั้น ดอกเบี้ยค้างชำระก่อนฟ้องในส่วนที่คำนวณถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นดอกเบี้ยค้างชำระก่อนฟ้องย้อนหลังไปเกินกว่า 5 ปี จึงขาดอายุความแล้ว โจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งหกนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 29 กรกฎาคม 2559) ย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จเท่านั้น ส่วนที่โจทก์คำนวณดอกเบี้ยมาในอัตราร้อยละ 15.60 ต่อปีถึงอัตราร้อยละ 19.780 ต่อปีในแต่ละช่วงเวลาดังกล่าวและนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิจากเจ้าหนี้ก็อาศัยข้อตกลงตามสัญญาจึงเป็นเบี้ยปรับตามที่วินิจฉัยไปแล้ว ดังนั้นถ้าเบี้ยปรับสูงเกินส่วนศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินและสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันแล้ว เห็นว่าเป็นอัตราที่สูงเกินสมควร จึงเห็นสมควรกำหนดให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เพียงอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงิน 236,848,000 บาท นับย้อนหลังแต่วันฟ้องขึ้นไปไม่เกิน 5 ปี และต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งหกซึ่งยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน จึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันแม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกันตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหลายฉบับรวมกันแล้วมีวงเงินความรับผิดมากกว่าจำนวนเงินต้นที่ต้องรับผิด จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชำระเงินต้นเต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 สัญญาค้ำประกันมีวงเงินความรับผิดไม่ถึงจำนวนเงินต้นที่ลูกหนี้ชั้นต้นต้องรับผิด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันตามวงเงินที่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันพร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น และเมื่อปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2559 ว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อนุญาตให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยได้รับชำระหนี้ในหนี้เบิกเงินเกินบัญชีและหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นมูลหนี้เดียวกันกับที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ ดังนั้นหากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท อ. ในคดีล้มละลายเพียงใดก็ให้โจทก์ในฐานะผู้สืบสิทธิจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยได้รับชำระหนี้ในคดีนี้น้อยลงเพียงนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นในปัญหาข้อนี้เป็นข้อที่ไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
อนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่กำหนดค่าใช้จ่ายจำนวน 90,560 บาท ให้แก่โจทก์ ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร คำขอท้ายอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้ง การที่โจทก์ระบุในคำขอท้ายฎีกาในทำนองเดียวกับที่ระบุมาในคำขอท้ายอุทธรณ์ จึงถือเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 236,848,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 29 กรกฎาคม 2559) ย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท จำเลยที่ 3 รับผิดชำระหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท จำเลยที่ 4 รับผิดชำระหนี้ในวงเงิน 30,000,000 บาท จำเลยที่ 5 รับผิดชำระหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท จำเลยที่ 6 รับผิดชำระหนี้ในวงเงิน 36,347,277.17 บาท และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปี ของต้นเงินตามวงเงินที่แต่ละคนต้องรับผิด นับแต่วันฟ้องย้อนหลังขึ้นไปเป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี และนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยมีเงื่อนไขว่า หากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของบริษัท อ. ในคดีล้มละลายตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2559 เพียงใด ก็ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้น้อยลงเพียงนั้น ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 200,000 บาท
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)468/2565
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา