คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2567
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15 พระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ.2559 ม. 30
เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยทั้งสองทราบในวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งสองแถลงขอสละถ้อยคำในทำนองปฏิเสธที่ให้ไว้ต่อพนักงานคุมประพฤติและคงให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ เท่ากับข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้วว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อ พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 30 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเพียงนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเท่านั้น ไม่อาจนำมารับฟังในฐานะเป็นพยานหลักฐานเพื่อวินิจฉัยการกระทำของจำเลยตามฟ้องได้ ดังนี้ จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติซึ่งขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 341, 343 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 3, 14
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก, 83 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) (ที่ถูก มาตรา 14 วรรคหนึ่ง (1)) การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี (ที่ถูก ข้อหาอื่นให้ยก)
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาสรุปว่า แม้จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ แต่ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติแตกต่างจากข้อเท็จจริงตามฟ้องและคำแถลงของผู้เสียหายคดีนี้ จำเลยทั้งสองไม่ได้กระทำเป็นขบวนการหรือแบ่งหน้าที่กันทำแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ขาดความรอบคอบและไว้เนื้อเชื่อใจบุคคลอื่นและด้อยประสบการณ์ ไม่รู้เท่าทันจนตกเป็นเครื่องมือให้กลุ่มขบวนการ ซึ่งมีพฤติการณ์ในการฉ้อโกงประชาชนนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นแจ้งรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติให้จำเลยทั้งสองทราบในวันนัดฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งสองก็แถลงขอสละถ้อยคำในทำนองปฏิเสธที่ให้ไว้ต่อพนักงานคุมประพฤติและคงให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 16 กันยายน 2565 เท่ากับข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติแล้วว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง เมื่อพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ. 2559 มาตรา 30 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเพียงนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติมาประกอบการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเท่านั้น ไม่อาจนำมารับฟังในฐานะเป็นพยานหลักฐานเพื่อวินิจฉัยการกระทำของจำเลยตามฟ้องได้ ดังนี้ จำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสองของพนักงานคุมประพฤติซึ่งขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลพิพากษายกฟ้องได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า มีเหตุให้ลงโทษจำเลยทั้งสองสถานเบาโดยลงโทษปรับสถานเดียวหรือรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนทั่วไปด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยการลงโฆษณาข้อความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทางสื่อสังคมออนไลน์โปรแกรมเฟซบุ๊กจนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้จำเลยทั้งสองกับพวกไป 17,000 บาท เป็นการกระทำที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น และยังมีผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและสังคมโดยส่วนรวม นับเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยทั้งสองมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ทั้งชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายจนครบถ้วนแล้วและผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งสองในทางแพ่งอีก ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะลงโทษปรับจำเลยทั้งสองสถานเดียวหรือรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2 ปี และลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษให้นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีและเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.4044/2566
แหล่งที่มา หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา


