คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8104/2554
พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 109 (2)
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าลูกหนี้ที่ 2 กู้ยืมเงินจากผู้ร้องเพื่อนำไปชำระค่าขึ้นศาลตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 711/2548 ของศาลจังหวัดสีคิ้ว ก็ตาม แต่เมื่อศาลจังหวัดสีคิ้วรับเงินไว้ เงินดังกล่าวย่อมมิใช่เงินของลูกหนี้ที่ 2 แล้ว ต่อมาลูกหนี้ที่ 2 ขอถอนฟ้องและศาลมีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลแก่ลูกหนี้ที่ 2 จำนวน 190,000 บาท จึงถือได้ว่าเงินที่ศาลสั่งคืนนี้เป็นทรัพย์สินที่ลูกหนี้ที่ 2 ได้มาภายหลังเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 109 (2) จึงเป็นทรัพย์สินอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 ได้
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2547 และพิพากษาให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548 ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2548 นางสาวชื่นจิตร ผู้ชำระบัญชีของลูกหนี้ที่ 2 ยื่นฟ้องนางวรรณศรี เป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 711/2548 และผู้ชำระบัญชีของลูกหนี้ที่ 2 ได้ชำระค่าขึ้นศาลจำนวน 200,000 บาท ต่อมาความปรากฏว่าลูกหนี้ที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไว้ก่อนแล้ว ผู้ชำระบัญชีจึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในคดีแพ่งดังกล่าว ศาลจังหวัดสีคิ้วมีคำสั่งเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 926/2548 ให้คืนเงินค่าขึ้นศาลจำนวน 190,000 บาท ผู้คัดค้านได้รับเงินดังกล่าวเข้ากองทรัพย์สิน ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านว่าผู้ชำระบัญชีของลูกหนี้ที่ 2 ได้ยืมเงินของผู้ร้องจำนวน 200,000 บาท ไปชำระค่าขึ้นศาลดังกล่าว ขอให้ผู้คัดค้านคืนเงินค่าขึ้นศาลในส่วนที่ศาลสั่งคืนให้แก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งกลับคำสั่งผู้คัดค้านและให้ผู้คัดค้านคืนเงินค่าขึ้นศาลจำนวน 190,000 บาท แก่ผู้ร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งกลับคำสั่งของผู้คัดค้าน ให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 190,000 บาท แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าลูกหนี้ที่ 2 กู้ยืมเงินจากผู้ร้องนำไปชำระค่าขึ้นศาลในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 711/2548 ของศาลจังหวัดสีคิ้วก็ตาม แต่เมื่อศาลจังหวัดสีคิ้วรับเงินไว้ เงินดังกล่าวย่อมมิใช่เงินของลูกหนี้ที่ 2 แล้ว ต่อมาลูกหนี้ที่ 2 ขอถอนฟ้องและศาลมีคำสั่งให้คืนค่าขึ้นศาลแก่ลูกหนี้ที่ 2 จำนวน 190,000 บาท จึงถือได้ว่าเงินที่ศาลสั่งคืนนี้เป็นทรัพย์สินที่ลูกหนี้ที่ 2 ได้มาภายหลังเวลาเริ่มต้นแห่งการล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 109 (2) จึงเป็นทรัพย์สินอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงสามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 ได้ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านคืนเงินจำนวน 190,000 บาท แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้คัดค้านต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ล.133/2552
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) ผู้ร้อง - นายปพน พิรงค์กุล ผู้คัดค้าน - เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จำเลย - บริษัทไทยนิงโฮลดิ้งอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กับพวก
ชื่อองค์คณะ วีระพล ตั้งสุวรรณ สมศักดิ์ จันทรา พินิจ สุเสารัจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลล้มละลายกลาง - นายโชค จงสงวน