สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8120/2555

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8120/2555

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ว. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 ในคดีหมายเลขแดงที่ ล.376/2535 และ ว. ได้รับการปลดจากล้มละลายแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2547 ก่อนวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ คือวันที่ 24 พฤษภาคม 2549 ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ ว. จึงไม่มีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของ ว. ลูกหนี้อีกต่อไป โจทก์ชอบที่จะฟ้อง ว. เป็นจำเลยโดยตรง การที่โจทก์มาฟ้อง ว. โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ ว. เป็นจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการฟ้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นจำเลยแทนลูกหนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง โดยให้จำเลยทั้งสองร่วมกันไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ถือเอาคำพิพากษาหรือคำสั่งแทนการแสดงเจตนา และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 504,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อศาลวินิจฉัยแล้วว่าการจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นโมฆะ จึงเป็นความเสียเปล่ามาแต่แรก ไม่ถือว่าที่ดินได้จำนองเพื่อประกันการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ไม่อาจอ้างได้ว่ามีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดิน จึงไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียอันจะขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองได้ ส่วนที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 504,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น เงินที่จำเลยที่ 1 กู้ไปจากโจทก์เป็นคนละเรื่องกับสัญญาซื้อขายที่โจทก์ขอให้เพิกถอน จึงไม่มีกรณีที่จะให้โจทก์ได้รับการชดใช้หนี้เงินกู้ในฐานลาภมิควรได้ พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายวิรัตน์ เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2535 ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.376/2535 และนายวิรัตน์ได้รับการปลดจากล้มละลายแล้วตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2547 ก่อนวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 24 พฤษภาคม 2549 ดังนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่มีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของนายวิรัตน์ ลูกหนี้อีกต่อไปนับแต่มีการปลดจากล้มละลายดังกล่าว โจทก์ชอบที่จะฟ้องนายวิรัตน์เป็นจำเลยโดยตรง การที่โจทก์มาฟ้องนายวิรัตน์โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายวิรัตน์เป็นจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการฟ้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นจำเลยแทนลูกหนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ไว้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ดำเนินคดีเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.1013/2553

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำเลย - นายวิรัตน์ วิเศษแสง โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กับพวก

ชื่อองค์คณะ สุรพันธุ์ ละอองมณี สุรศักดิ์ คีรีวิเชียร สมสันต์ ศุภาสตรสิน

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแพ่ง - นายวรนันท์ ประถมปัทมะ ศาลอุทธรณ์ - นายคัมภีร์ กิตติปริญญาพงศ์

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th