ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ไว้เด็ดขาด เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๙ เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาและตามตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน ๑๒,๐๘๑,๐๒๓.๒๕ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๔ แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า เจ้าหนี้มีสิทธิรับชำระหนี้เฉพาะในมูลหนี้อันดับ ๑ เป็นเงิน ๗๖๘,๕๒๓.๒๕ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เต็มตามคำขอ ส่วนคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับ ๒ ให้ยกคำขอเสียทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า เจ้าหนี้ทำงานกับลูกหนี้มานานจนกระทั่งเป็นกรรมการคนหนึ่งและเป็นกรรมการผู้จัดการของลูกหนี้มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารกิจการของลูกหนี้ จึงย่อมจะต้องทราบถึงฐานะและกิจการของลูกหนี้ได้ว่าตกอยู่ในสภาพเช่นไร เมื่อกิจการของลูกหนี้อยู่ในภาวะขาดทุน ลูกหนี้ค้างชำระค่าจ้างพนักงานและเจ้าหนี้เองเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๓๖ เป็นต้นไป เจ้าหนี้ก็ยังให้ลูกหนี้กู้ยืมเงิน โดยลูกหนี้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้จนถึงปี ๒๕๓๙ เป็นเงินทั้งสิ้น ๗,๙๐๐,๐๐๐ บาท แสดงว่าเจ้าหนี้ให้ลูกหนี้กู้ยืมเงินดังกล่าวโดยรู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เจ้าหนี้จึงไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๔ (๒) ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับ ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา








