คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8290/2540
ประมวลรัษฎากร ม. 118 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 572 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 240
หลังจากโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โจทก์ได้จัดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลย จำเลยได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้วได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์โดยยอมรับว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์จริง ดังนี้การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ต้องใช้สัญญาเช่าซื้อเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญาเช่าซื้อจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ คดีก็ฟังได้ว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องยนต์จำนวน 1 เครื่อง จากโจทก์ในราคา 721,880 บาท ชำระในวันทำสัญญา170,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงผ่อนชำระ 18 งวด งวดละเดือนเดือนละ 30,660 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 15 สิงหาคม 2532งวดต่อไปทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบ จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จากนั้นจำเลยที่ 1ชำระเพียง 521,880 บาท ยังค้างอีก 200,000 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2534 เป็นต้นมา สัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 460,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องยนต์คืนหรือใช้ราคาแทน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบเครื่องยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบเครื่องยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพที่ใช้การได้ดี มิฉะนั้นให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 24,000 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์ในการใช้ทรัพย์เป็นเงิน 13,800 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 300 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จทั้งนี้ต้องไม่เกิน 12 เดือน คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หลังจากโจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้ว ได้จัดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาอุทธรณ์แล้วได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ไว้โดยยอมรับว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์จริง การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ย่อมไม่ต้องใช้สัญญาเช่าซื้อเป็นพยานหลักฐาน ฉะนั้นแม้สัญญาเช่าซื้อจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ คดีก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องยนต์กับโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอ้างเหตุว่าสัญญาเช่าซื้อไม่ปิดอากรแสตมป์ เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานจึงไม่ชอบ
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า โจทก์ควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายจำนวนเพียงใด ประเด็นนี้แม้ศาลอุทธรณ์จะมิได้วินิจฉัยไว้ แต่โจทก์ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาทั้งได้สืบพยานไว้แล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีก แล้วศาลฎีกาวินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองรับผิดต่อโจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบเครื่องยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพที่ใช้การได้ดี ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้เงิน30,660 บาท และร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์อีก17,629.50 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ383.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบเครื่องยนต์คืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท เค้น มอเตอร์ เวอคส์ จำกัด จำเลย - นาย ก้อง ภูศิริ กับพวก
ชื่อองค์คณะ วุฒิ คราวุฒิ ปรีชา เฉลิมวณิชย์ สถิตย์ ไพเราะ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan