สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2561

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2561

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 268

ความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอม เป็นความผิดสำเร็จเมื่อยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ รับเรื่อง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นเอกสารราชการปลอมตามฟ้องต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ตรวจเอกสารเพื่อยื่นซองประกวดราคาจึงเป็นความผิดสำเร็จแล้ว

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 91, 264, 265, 268

จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 83, 84 จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ปลอมเอกสารราชการที่นำไปใช้ ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 3 ปี จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1 ปี 6 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29

จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 84 ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมแต่บทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง และจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ฐานปลอมเอกสารราชการแต่เพียงบทเดียว ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 10,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับการปลอมเอกสารราชการและไม่ทราบว่ามีการนำเอกสารราชการปลอมดังกล่าวไปใช้ในการยื่นซองประกวดราคาตามฟ้อง รวมถึงคุณสมบัติของแผ่นยางของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีมาตรฐานสูงกว่าที่ผู้เสียหายที่ 2 กำหนด จึงไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหาย ทำนองว่าไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ที่แก้ไขใหม่ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เพียงเตรียมเอกสารราชการตามฟ้องเพื่อจะยื่นซองประกวดราคา และยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจเอกสารของเจ้าหน้าที่ตรวจเอกสาร จึงยังไม่ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมอันจะครบองค์ประกอบความผิดเป็นความผิดสำเร็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 เห็นว่า ความผิดฐานใช้หรืออ้างเอกสารปลอมเป็นความผิดสำเร็จเมื่อยื่นเอกสารต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับเรื่อง ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นเอกสารราชการปลอมตามฟ้องต่อเจ้าหน้าที่มีผู้มีหน้าที่ตรวจเอกสารเพื่อยื่นซองประกวดราคาจึงเป็นความผิดสำเร็จแล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกให้นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้หรือจ้างวานจำเลยที่ 4 ให้ปลอมเอกสารรายงานการทดสอบแผ่นยางอันเป็นเอกสารราชการ แล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 นำไปใช้อ้างเป็นหลักฐานประกอบการยื่นซองประกวดราคาตามโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลกลางแจ้งของผู้เสียหายที่ 2 ว่าแผ่นยางของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มีคุณสมบัติตรงตามที่ผู้เสียหายที่ 2 กำหนด เป็นการกระทำที่มุ่งแต่เพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของทางราชการที่จะได้รับ พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อ้างว่า รู้สึกสำนึกในการกระทำความผิดแล้ว ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีภาระทางครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยกขึ้นอ้างในฎีกา ก็มิใช่เป็นเหตุผลเพียงพอจะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 2 ปี ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี โดยไม่รอการลงโทษจำคุกนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์ของคดีแล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ภายหลังศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 265 และใช้อัตราโทษใหม่แทน แต่โทษที่บัญญัติใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลยทั้งสี่ จึงต้องใช้กฎหมายเดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.3668/2560

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดชัยนาท จำเลย - บริษัทไนโช จำกัด กับพวก

ชื่อองค์คณะ ชัยรัตน์ ศิลาลาย พันธุ์เลิศ บุญเลี้ยง ปานนท์ กัจฉปานันท์

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดชัยนาท - นางสาวชรินพร ศรีวิไล ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายสมศักดิ์ ขวัญแก้ว

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th