ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้อำนวยการบริษัทสยามรัฐจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามรัฐ จำเลยได้บังอาจพิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ลงในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันฉบับลงวันที่ 12 ตุลาคม 2507 ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องไว้

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยตั้งหัวเรื่องว่า "บริการจิ้งเหลือง"กับภิกษุในพุทธศาสนานั้น ย่อมเป็นการล่วงเกินโจทก์เท่ากับจำเลยเอาพระภิกษุไปเปรียบเทียบกับสัตว์เลื้อยคลาน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 มิใช่เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ แต่กรณีเป็นเรื่องที่มีข้อเท็จจริงคาบเกี่ยวกันอันจะเป็นความผิดกฎหมายได้หลายบท มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์สละสิทธิมิให้ลงโทษจำเลยตามมาตราอื่นที่มิได้อ้าง ทั้งนี้ ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 4 ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ จริงอยู่ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 เป็นเรื่องที่ผู้ดูหมิ่นจะต้องกล่าวต่อผู้ถูกดูหมิ่นโดยตรง แต่เมื่อจำเลยเอาไปโฆษณาจึงต้องอยู่ในฐานะเป็นตัวการ สำหรับจำเลยที่ 1 เป็นผู้อำนวยการไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์ ต้องรับผิด และพระภิกษุมีสิทธิฟ้องความได้ จึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ปรับ 300 บาท บังคับค่าปรับตามมาตรา 29, 30 ข้ออื่นให้ยกเสีย ส่วนจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องในข้อหาเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เสีย นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา บริษัทสยามรัฐจำกัดเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ จำเลยที่ 1 เป็นผู้อำนวยการ จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์และผู้โฆษณาเมื่อเดือนสิงหาคม 2507 โจทก์จะไปทอดกฐินที่สิงคโปร์ โจทก์ได้ให้นายพิพัฒน์ไปจ้างโรงพิมพ์พิมพ์บัตรเชิญใจความว่า เพื่อส่งเสริมวัดไทยในต่างประเทศให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น จึงขอเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายไปร่วมกุศลสามัคคี ณ วัดอนันทเมตตารามสิงคโปร์ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2507 เวลา 19.30 นาฬิกา ออกเดินทางโดยสายการบินไทย จากดอนเมือง รุ่งขึ้นวันทอด เสร็จแล้วนำเที่ยวเมืองสิงคโปร์ มีกำหนด 7 วัน และในเดือนตุลาคม 2507 ได้มีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเสียงอ่างทองลงโฆษณาว่า "ท่านอาจารย์พระมหาพิชิตคณะ 15 วัดมหาธาตุ ขอบอกบุญมายังสัปปุรุษและสีกาทั้งหลายร่วมการกุศลทอดกฐินสามัคคี ณ วัดอนันทเมตตาราม ที่สิงคโปร์เพื่อส่งเสริมวัดไทยในต่างประเทศให้เจริญยิ่งขึ้น โดยกำหนดออกเดินทางโดยเครื่องบินจากดอนเมืองวันที่ 22 ตุลาคม ศกนี้ เวลา 19.30 นาฬิกา เสร็จงานทอดกฐินแล้วจะมีการทัศนาจรสิงคโปร์มีกำหนด 7 วัน ค่าเดินทางทั้งไปและกลับตลอดจนค่าหนังสือเดินทางและที่พัก ค่านำเที่ยวค่าอาหารรวมคนละ 5,000 บาท ติดต่อไปที่พระมหาพิชิต คณะ 15 วัดมหาธาตุ หรือโทรศัพท์เลขหมาย 28616 เฉพาะหนังสือพิมพ์สยามรัฐฉบับลงวันที่ 12 ตุลาคม 2507 ได้พิมพ์ลงในช่องขัดจังหวะ โดยพาดหัวว่า "บริการจิ้งเหลือง" และลงท้ายว่า "(ใบฎีกาจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์)จงทำดี จงทำดี จงทำดี และในโอกาสนี้หวังว่าจะไม่มีบริการประกวดยอดสีกาด้วยนะครับ นายรำคาญ" และได้มีชาย 2 คน หญิง 6 คนไปทอดกฐินตามบัตรเชิญและคำโฆษณาดังกล่าว

คำโฆษณาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยว่าเป็นข้อความที่ดูหมิ่นโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 มาถูกต้องแล้ว มีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเพียงข้อเดียวว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวในฟ้องและที่ปรากฏในทางพิจารณา เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยฐานโฆษณาดูหมิ่นหรือไม่เท่านั้น

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์และพยานหลักฐานโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้วเห็นว่า ข้อความหมิ่นประมาทนั้นอาจเป็นข้อความตามข้อเท็จจริง หรือความคิดเห็นโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือถูกเกลียดชัง ส่วนคำดูหมิ่นไม่เป็นการกล่าวข้อเท็จจริงใด ๆ แต่เป็นคำกล่าวอันทำให้เป็นที่ดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ด่าแช่ง ค่อนขอด ฯลฯ ตามฟ้องของโจทก์ได้ระบุว่า คำโฆษณาของจำเลยหยาบคาย ผิดวิสัยปัญญาชนชาวหนังสือพิมพ์พึงกระทำ เพราะคำว่า "จิ้ง"นั้นใช้นำหน้าสำหรับเรียกสัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์สี่เท้าเท่านั้น เช่น จิ้งเหลน จิ้งจอก เป็นต้น คำว่า "เหลือง" ก็มีนัยหมายถึง โจทก์ซึ่งเป็นพระภิกษุนุ่งห่มผ้าเหลือง ทั้งนี้ เป็นการส่อสำแดงเหยียดหยามค่อนขอดโจทก์เท่านั้นย่อมถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่นตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาท และขอให้ลงโทษตามมาตรา 393 การที่โจทก์อ้างความผิดฐานหมิ่นประมาท และขอให้ลงโทษตามมาตรา 326, 328 อันเป็นบทมาตราที่ผิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังโจทก์ฟ้อง ศาลย่อมลงโทษจำเลยในข้อเท็จจริงนั้น และตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้คือ ความผิดฐานโฆษณาดูหมิ่นตามมาตรา 393 ดังกล่าวได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th