สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8351/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8351/2563

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ม. 5 (1), 5 (2)

จำเลยทั้งสองและ ศ. ร่วมกันโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 จำนวน 3 ครั้ง ต่างวันต่างเวลากัน แม้ลักษณะการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันโดยเป็นการกระทำต่อเนื่องจากการจำหน่ายยาเสพติดในครั้งเดียวกันก็ตาม แต่เมื่อร่วมกระทำความผิดแต่ละครั้งต่างวันต่างเวลา มิได้กระทำต่อเนื่องกัน จึงแยกต่างหากจากกันเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5, 7, 9, 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีดังกล่าว

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5 (1) (2), 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 การกระทำของจำเลยทั้งสองฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินและฐานร่วมกันฟอกเงินเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ซึ่งต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินตามที่ได้มีการสมคบกัน ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันฟอกเงินตามมาตรา 9 วรรคสอง ประกอบมาตรา 5 (1) (2) จำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 4 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 12 ปี คำรับในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5247/2561, 423/3562 (ที่ถูก 423/2562), 524/2562, 1652/2562, 2042/2562, 1118/2562, 1887/2562, 2258/2562, 1969/2562, 382/2562, 2158/2562, 2139/2562 และ 2177/2562 ของศาลชั้นต้น ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 5927/2561, 5932/2561 และ 5963/2561 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอส่วนนี้

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 3 ปี เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 1 กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 24 เดือน ส่วนการนับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 และนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการแรกว่า โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 หรือไม่ เห็นว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายสรุปข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่กล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 กับพวกกระทำความผิดครบองค์ประกอบของความผิด โดยระบุวัน เวลาและสถานที่กระทำความผิด รวมทั้งบุคคล และสิ่งของที่เกี่ยวข้องพอสมควร เพื่อให้จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อกล่าวหาได้ดี สามารถต่อสู้คดีตามฟ้องของโจทก์ได้แล้ว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้ว่าจำเลยที่ 1 หรือนางสาวศิธิพรจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเมื่อใด ได้เงินเท่าใด มีการแบ่งเงินระหว่างกันเช่นใด ลำพังการที่จำเลยที่ 2 เปิดบัญชีและรับเงินโอนก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเลยที่ 2 กระทำความผิดนั้น เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 หลงต่อสู้ จำเลยที่ 2 เข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำกรรมเดียวหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติแล้วว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 จำเลยทั้งสองและนางสาวศิธิพรร่วมกันโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 50,000 บาท วันที่ 5 มกราคม 2561 จำเลยทั้งสองและนางสาวศิธิพรร่วมกันโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 จำนวน 1 ครั้ง เป็นเงิน 10,000 บาท และวันที่ 25 มกราคม 2561 จำเลยทั้งสองและนางสาวศิธิพรร่วมกันโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 อีก 1 ครั้ง เป็นเงิน 20,000 บาท เป็นการกระทำต่างวันต่างเวลากัน แม้ลักษณะการกระทำความผิดอย่างเดียวกัน และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันโดยเป็นการกระทำต่อเนื่องจากการจำหน่ายยาเสพติดในครั้งเดียวกันตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดแต่ละครั้งต่างวันต่างเวลากันมิได้กระทำต่อเนื่องกัน จึงแยกต่างหากจากกันเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา อ.2232/2563

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี จำเลย - นาย ณ. กับพวก

ชื่อองค์คณะ ทรงพล สงวนพงศ์ เอกศักดิ์ ยันตรปกรณ์ สมศักดิ์ ขวัญแก้ว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดธัญบุรี - นางสาวจุไรรัตน์ จริยธรรมานุกูล ศาลอุทธรณ์ภาค 1 - นายวิชาญ เทพมาลี

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th
ติดต่อเราทาง LINE