สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8470/2544

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8470/2544

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (10), 174 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 ม. 15, 66

การใช้สายลับช่วยล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนเป็นเพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยตามอำนาจใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจำเลยพร้อมด้วยพยานหลักฐาน ดังนี้ การใช้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จึงเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจำเลยไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ จึงมิใช่เป็นการใช้ให้ไปกระทำความผิดและแม้จะไม่ได้นำตัวสายลับมาเป็นพยานในชั้นศาลเนื่องจากเพื่อประโยชน์แก่ราชการในภายหน้าหรือเพื่อความปลอดภัยของสายลับก็ตาม ย่อมอยู่ในดุลพินิจของโจทก์ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าพยานหลักฐานที่นำสืบมาเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้แล้ว ก็หาจำต้องนำตัวสายลับดังกล่าวมาเป็นพยานในชั้นศาลด้วยไม่

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง(ที่ถูกประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80) ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุยังไม่เกิน 20 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุก 3 ปี 4 เดือน คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเห็นสมควรลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่งในสี่ คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ริบของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง เห็นสมควรลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก26 เดือน 20 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง ร้อยตำรวจโทศรีไพร บินทปัญญารองสารวัตรสืบสวน กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 กับพวก ได้ร่วมกันจับกุมจำเลยที่วินเนอร์สนุกเกอร์คลับถนนสุขุมวิท 71 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกใสอยู่ในมือจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทศรีไพร บินทปัญญา และสิบตำรวจเอกชาณุ คุ้มกัน เป็นพยานเบิกความต้องกันว่า ร้อยตำรวจโทศรีไพรได้รับรายงานจากสายลับว่ามีชายไทยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่วินเนอร์สนุกเกอร์คลับที่เกิดเหตุจึงวางแผนจับกุมโดยนำธนบัตรฉบับละ 500 บาทไปถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันธุรการมอบให้สายลับไปทำการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน พยานทั้งสองกับพวกเดินทางไปที่เกิดเหตุโดยให้สายลับเดินทางล่วงหน้าไปก่อน แล้วพยานทั้งสองตามไปที่ชั้น 2 ของสถานที่ดังกล่าว ทำทีว่าไปเล่นสนุกเกอร์ ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจอื่นรออยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน ขณะนั้นจำเลยกับพวกกำลังเล่นสนุกเกอร์ที่โต๊ะหัวมุมพยานทั้งสองเห็นสายลับเดินเข้าไปพูดคุยกับจำเลย สักครู่หนึ่งจำเลยถือหมวกนิรภัยเดินออกไปจากห้องสนุกเกอร์ ครั้นเวลา 18.30 นาฬิกาจำเลยกลับมาในห้องสนุกเกอร์พูดคุยกับสายลับที่บริเวณเคาน์เตอร์แล้วพากันเดินไปที่บริเวณบันไดทางขึ้นชั้น 3 พยานทั้งสองจึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแล้วจับกุมจำเลย สิบตำรวจเอกชาณุพยานค้นตัวจำเลยพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด บรรจุในถุงพลาสติกที่จำเลยกำไว้ในมือขณะล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างซ้าย จึงแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยให้การรับว่ามีชายไทยมาติดต่อขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย แต่จำเลยไม่มี ชายผู้นั้นจึงมอบเงินให้แก่จำเลยไปซื้อเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณคลองเตยจำนวน 10 เม็ด เพื่อจะมามอบให้ชายคนดังกล่าวตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 และพันตำรวจโทปริญญา วงศ์กล้า พนักงานสอบสวนพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าได้แจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยให้การรับสารภาพปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.6 เห็นว่า ก่อนที่ร้อยตำรวจโทศรีไพรและสิบตำรวจเอกชาณุจะเข้าจับกุมจำเลยนั้นเชื่อว่าจะต้องมีผู้แจ้งว่ามีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่วินเนอร์สนุกเกอร์คลับที่เกิดเหตุมิฉะนั้นร้อยตำรวจโทศรีไพรและสิบตำรวจเอกชาณุย่อมไม่สามารถทราบรายละเอียดและเดินทางไปจับกุมจำเลยได้ ทั้งการจับกุมจำเลยต้องวางแผนอย่างรัดกุมโดยมีสายลับที่รู้จักตัวจำเลยนำไปที่วินเนอร์สนุกเกอร์คลับเพื่อชี้ตัวหรือแสดงวิธีการใดให้เจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมจำเลยได้พร้อมด้วยพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งการวางแผนของร้อยตำรวจโทศรีไพรและสิบตำรวจเอกชาณุใช้วิธีนำธนบัตรฉบับละ 500 บาท ไปถ่ายสำเนาแล้วนำไปลงบันทึกประจำวันธุรการตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 มอบให้แก่สายลับไปล่อซื้อร้อยตำรวจโทศรีไพรและสิบตำรวจเอกชาณุทำทีเล่นสนุกเกอร์อยู่อีกโต๊ะหนึ่งเห็นสายลับเข้าไปพูดคุยกับจำเลย จนกระทั่งจำเลยออกไปจากห้องสนุกเกอร์แล้วกลับมาในเวลา 18.30 นาฬิกา จึงถูกจับกุมพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ของกลางที่บริเวณทางขึ้นบันไดชั้น 3 ได้ในที่สุด ร้อยตำรวจโทศรีไพรและสิบตำรวจเอกชาณุไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน น่าเชื่อว่าไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่จะต้องเบิกความปรักปรำจำเลย การจับกุมจำเลยก็อาศัยแผนการที่ได้วางไว้ ทั้งพยานทั้งสองเบิกความเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนและภายหลังการจับกุมจำเลยสอดคล้องต้องกัน ไม่มีข้อพิรุธสงสัยแม้จะมีข้อแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงพลความ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีทั้งพยานบุคคลและเมทแอมเฟตามีนของกลางอันเป็นวัตถุพยานที่ยึดได้จากตัวจำเลย ประกอบกับจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จึงรับฟังได้ว่าสายลับได้มอบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อให้จำเลยไปซื้อเมทแอมเฟตามีน หลังจากนั้นจำเลยจึงไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด จากที่อื่นเตรียมส่งมอบให้แก่สายลับ แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมา ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่นำตัวสายลับและพนักงานของวินเนอร์สนุกเกอร์คลับมาเบิกความเป็นพยานทำให้มีข้อพิรุธ การที่สายลับใช้ให้จำเลยไปซื้อเมทแอมเฟตามีนเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวจำเลย ย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมายนั้น เห็นว่า การใช้สายลับช่วยล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนเป็นเพียงการกระทำเท่าที่จำเป็นและสมควรในการแสวงหาหลักฐานในการกระทำความผิดของจำเลยตามอำนาจในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(10) ชอบที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกระทำได้เพื่อให้ได้โอกาสจับกุมจำเลยพร้อมด้วยพยานหลักฐาน ดังนี้ การใช้สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จึงเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยมิชอบ จึงมิใช่เป็นการใช้ให้ไปกระทำความผิด และแม้จะไม่ได้นำตัวสายลับกับพนักงานของวินเนอร์สนุกเกอร์คลับมาเป็นพยานในชั้นศาลเนื่องจากเพื่อประโยชน์แก่ราชการในภายหน้าหรือเพื่อความปลอดภัยของสายลับก็ตาม ย่อมอยู่ในดุลพินิจของโจทก์ ซึ่งหากโจทก์เห็นว่าพยานหลักฐานที่นำสืบมาเพียงพอที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้แล้วก็หาจำต้องนำตัวสายลับและพนักงานดังกล่าวมาเป็นพยานในชั้นศาลด้วยไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.6 ไม่ชอบ เนื่องจากจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่นั้น เห็นว่า โจทก์มีพันตำรวจโทปริญญาพนักงานสอบสวนเบิกความว่า ก่อนสอบสวนได้แจ้งสิทธิให้จำเลยทราบตามบันทึกการแจ้งสิทธิ เอกสารหมาย จ.7 และเมื่อจัดทำบันทึกคำให้การรับสารภาพของจำเลยเสร็จแล้ว ได้อ่านข้อความให้จำเลยฟัง โดยที่พันตำรวจโทปริญญาพยานไม่เคยรู้จักจำเลย น่าเชื่อว่าดำเนินการสอบสวนและสอบปากคำจำเลยไปตามข้อเท็จจริงโดยไม่ได้กลั่นแกล้งจำเลย ทั้งบันทึกคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนมีข้อความสอดคล้องในสาระสำคัญต้องกันว่า จำเลยได้รับมอบธนบัตรฉบับละ500 บาท จากสายลับไปซื้อเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณคลองเตยนำมาส่งมอบให้แก่สายลับ คำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่าจำนนต่อหลักฐานยิ่งกว่าจะฟังว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ และที่จำเลยฎีกาอีกว่าเจ้าพนักงานตำรวจลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อตามเอกสารหมาย จ.1 ในลำดับที่ 4 ระบุว่าเป็นวันที่ 19 กันยายน2541 แต่ตามลำดับที่ 5 ถัดมามีการลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีอื่นระบุวันที่ 18 กันยายน 2541 ทำให้มีข้อพิรุธนั้น เห็นว่า การนำธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อไปถ่ายสำเนาและลงบันทึกประจำวันนั้น เป็นเพียงพยานหลักฐานขั้นตอนแรกที่แสดงว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้นำธนบัตรมอบให้สายลับใช้ในการล่อซื้อจริงเท่านั้น แม้จะมีข้อผิดพลาดในบันทึกประจำวันดังกล่าวก็เป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของเจ้าพนักงานตำรวจเอง และไม่เป็นเหตุทำให้พยานโจทก์ทั้งปวงขาดน้ำหนักน่าเชื่อถือแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 26 เดือน20 วันนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องเป็นจำคุก 2 ปี 2 เดือน 20 วัน แต่โทษตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมาเป็นจำนวนเดือนนั้นเป็นคุณแก่จำเลยมากกว่า เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ได้ เพราะจะมีผลทำให้จำเลยต้องรับโทษหนักขึ้นอันเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225"

พิพากษายืน

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลย - นาย ชวลิต เครือวุฒิกุล

ชื่อองค์คณะ กุลพัชร์ อิทธิธรรมวินิจ พูนศักดิ์ จงกลนี ปัญญา สุทธิบดี

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th