คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 850/2539
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 277 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 95 (2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227
แม้โจทก์ไม่ได้ผู้เสียหายและนางสาว ล. มาเบิกความเป็นพยานแต่โจทก์มีสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. พยานโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกคำให้การของผู้เสียหายและนางสาว ล.ที่ร้อยตำรวจเอก ส. พนักงานสอบสวนบันทึกและเบิกความรับรองไว้เชื่อว่าเป็นความจริงเพราะหากไม่เป็นความจริงแล้วผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กสาวย่อมละอายต่อการถูกข่มขืนคงไม่กล้าให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนั้นเมื่อนำบันทึกคำให้การดังกล่าวมาประกอบคำเบิกความของสิบตำรวจโท ค. กับร้อยตำรวจเอก ส. ว่าชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพแล้วเชื่อว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 277, 83
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม , 83 ลงโทษ จำคุก ตลอด ชีวิตจำเลย ให้การรับสารภาพ ใน ชั้นสอบสวน เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณาอยู่ บ้าง มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คง จำคุก 33 ปี 4 เดือน
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า "พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง รับฟัง ได้ว่าเมื่อ วันที่ 24 มกราคม 2536 เวลา ประมาณ 20 นาฬิกาเด็ก หญิง สุพรรณี ศิริ อายุ 13 ปี 3 เดือน ผู้เสียหาย กับ นางสาว ลาวดี ดีวาสนา ได้ ไป เที่ยว งาน วัด คลองคะเชนทร์ ตำบล คลองคะเชนทร์ อำเภอ เมือง พิจิตร จังหวัด พิจิตร ใน ตอน กลับ บ้าน ซึ่ง เป็น เวลา ประมาณ 0.30 นาฬิกา ของ วันที่ 25 มกราคม 2536ผู้เสียหาย ถูก คนร้าย 2 คน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ต่อมา เวลา ประมาณ12.30 นาฬิกา ของ วัน ดังกล่าว เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ได้ ตามบันทึก การ จับกุม เอกสาร หมาย จ. 2 และ ใน เวลา ประมาณ 02.10 นาฬิกาของ วัน ดังกล่าว พนักงานสอบสวน ได้ ส่งตัว ผู้เสียหาย ไป ตรวจ ร่างกายปรากฏว่า มี รอย ฟกช้ำ บวม บริเวณ หน้าผาก และ เหนือ ริมฝีปาก ข้าง ขวาและ พบ เชื้อ อสุจิ จาก ของเหลว ใน ช่องคลอด ตาม รายงาน ผล การ ตรวจ ชันสูตรบาดแผล ของ แพทย์ เอกสาร หมาย จ. 1
ปัญหา ที่ ต้อง วินิจฉัย มี ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ร่วม กับพวก ข่มขืนกระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ตาม ฟ้อง หรือไม่ จำเลย ฎีกา ว่า เมื่อ โจทก์ไม่ได้ ผู้เสียหาย และ นางสาว ลาวดี ดีวาสนา มา เบิกความ ให้ เห็นว่า จำเลย ได้ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย แล้ว จะ รับฟัง ว่า จำเลย กระทำผิดหาได้ไม่ และ ใน ชั้น จับกุม และ สอบสวน จำเลย ไม่ได้ ให้การรับสารภาพแต่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ทำร้ายร่างกาย จำเลย จน จำเลย ทน ไม่ได้ จึง ได้รับสารภาพ และ เมื่อ มี การ ตรวจ ร่างกาย ของ จำเลย ก็ ไม่ปรากฏ บาดแผลที่ เป็น ร่องรอย ของ การ ต่อสู้ ขัดขืน ที่ ร่างกาย ของ จำเลย อัน สนับสนุนให้ เห็นว่า จำเลย ไม่ได้ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย เห็นว่า แม้ โจทก์ไม่ได้ ผู้เสียหาย และ นางสาว ลาวดี ดีวาสนา มา เบิกความ เพราะ ตาม หา คน ทั้ง สอง ไม่ได้ ก็ ตาม แต่ โจทก์ มี สิบตำรวจโท ครรชิต ประเสริฐสิทธิ์ พยานโจทก์ เบิกความ ว่า ใน วันที่ 25 มกราคม 2536 เวลา 1 นาฬิกา เศษนางสาว ลาวดี ดีวาสนา แจ้ง ว่า ผู้เสียหาย ถูก ข่มขืน กระทำ ชำเรา ที่ ซอย เรืองศิริ หน้า โรงเรียน พิจิตรพิทยาคม พยาน รับ แจ้ง แล้ว ได้ ไป ที่ ดังกล่าว แต่ ไม่พบ ผู้เสียหาย จึง ออก ตรวจ บริเวณ ใกล้เคียงและ ต่อมา เวลา 2 นาฬิกา เศษ พยาน พบ ผู้เสียหาย ที่ หน้าโรงเรียน พิจิตรพิทยาคม ผู้เสียหาย แจ้ง แก่ พยาน ว่า ถูก ชาย ชื่อ เชษฐ์ ข่มขืน กระทำ ชำเรา พยาน จึง นำ ผู้เสียหาย ไป ส่ง ให้ ร้อยตำรวจเอก สมยศ ไทยเที่ยง พนักงานสอบสวน วันรุ่งขึ้น ร้อยตำรวจเอก สมยศ ได้ ให้ พยาน ไป ตาม จำเลย มา ที่ สถานีตำรวจภูธร อำเภอ เมือง พิจิตร ซึ่ง ผู้เสียหายได้ ชี้ ตัว จำเลย ว่า เป็น คน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย และร้อยตำรวจเอก สมยศ พยานโจทก์ เบิกความ ว่า เมื่อ ได้รับ แจ้งเหตุ ว่า ผู้เสียหาย ถูก ข่มขืน กระทำ ชำเรา แล้ว พยาน ได้ ไป ที่เกิดเหตุ แต่ ไม่พบ ใครต่อมา ได้ ให้ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป ตาม ผู้เสียหาย มา ที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอ เมือง พิจิตร เมื่อ สอบถาม ผู้เสียหาย ให้การ ว่า ถูก ชาย สอง คนร่วมกัน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ชาย คนหนึ่ง คือ พลทหาร วิเชษฐ์ จำเลย นี้ วันรุ่งขึ้น พยาน ให้ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป ตาม จำเลย มา เมื่อ จำเลย มา แล้วจึง ให้ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป ตาม ผู้เสียหาย มา ผู้เสียหาย ยืนยัน ว่าจำเลย กับพวก ร่วมกัน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย และ นางสาว ลาวดี ซึ่ง มา กับ ผู้เสียหาย ด้วย ก็ ได้ ชี้ ตัว ว่า จำเลย มา กับ เพื่อน ของ จำเลยและ เพื่อน ของ จำเลย กอดปล้ำ ผู้เสียหาย พยาน จึง จับ จำเลย และ แจ้ง ข้อหาว่า จำเลย กับพวก ร่วมกัน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย ซึ่ง จำเลย ให้การรับสารภาพ ตาม บันทึก การ จับกุม เอกสาร หมาย จ. 2 และ บันทึก การ ชี้ ตัวเอกสาร หมาย จ. 9 และ จ. 10 ใน ชั้นสอบสวน ได้ มี ร้อยโท ไพบูลย์ จิตตะศิระ นายทหาร พระธรรมนูญ กองพลทหารม้า ที่ 13จังหวัด เพชรบูรณ์ ร่วม สอบสวน จำเลย ด้วย จำเลย ก็ ให้การรับสารภาพและ ได้ นำ ชี้ ที่เกิดเหตุ ประกอบ คำรับสารภาพ ตาม เอกสาร หมาย จ. 8เมื่อ พยาน ได้ ส่งตัว ผู้เสียหาย ไป ให้ แพทย์ ตรวจ แล้ว แพทย์ ได้ รายงานผล การ ตรวจ ชันสูตร บาดแผล ไว้ ตาม เอกสาร หมาย จ. 1 พยาน ได้ บันทึกคำให้การ ของ ผู้เสียหาย และ นางสาว ลาวดี ไว้ ด้วย ตาม บันทึก คำให้การ เอกสาร หมาย จ. 4 และ จ. 5 ซึ่ง ใน บันทึก คำให้การ เอกสาร หมาย จ. 4ผู้เสียหาย ได้ ให้การ ว่า จำเลย กับ นาย ธีระพงษ์ พวก ของ จำเลย ได้ ร่วมกัน ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย โดย นาย ธีระพงษ์ กด ผู้เสียหาย ให้ นอน กับ พื้น เมื่อ ผู้เสียหาย ร้อง ให้ คน ช่วย นาย ธีระพงษ์ ก็ ตบ หน้า ผู้เสียหาย จน ผู้เสียหาย ได้รับ บาดเจ็บ จำเลย ช่วย ถอด กางเกง ของผู้เสียหาย ออก แล้ว นาย ธีระพงษ์ ก็ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย จาก นั้น จำเลย ก็ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ต่อ เมื่อ จำเลย ข่มขืน กระทำ ชำเราแล้ว จำเลย กับ นาย ธีระพงษ์ ได้ ขับ รถจักรยานยนต์ ไป ส่ง ผู้เสียหาย ที่ โรงงาน อาหาร กระป๋อง และ ใน บันทึก คำให้การ เอกสาร หมาย จ. 5นางสาว ลาวดี ให้การ ว่า เมื่อ นาย ธีระพงษ์ กอดปล้ำ ผู้เสียหาย แล้ว พยาน ได้ รีบ หลบหนี ไป และ ไป แจ้ง แก่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ ว่า ผู้เสียหายถูก ข่มขืน กระทำ ชำเรา คำให้การ ของ ผู้เสียหาย และ นางสาว ลาวดี ที่ ร้อยตำรวจเอก สมยศ ซึ่ง เป็น พนักงานสอบสวน บันทึก และ เบิกความ รับรอง ไว้ นี้ เชื่อ ว่า เป็น ความจริง เพราะ หาก ไม่เป็น ความจริง แล้ว ผู้เสียหายซึ่ง เป็น เด็ก สาว ย่อม ละ อาย ต่อ การ ถูก ข่มขืน คง ไม่ กล้า ที่ จะ ให้การต่อ พนักงานสอบสวน เช่นนั้น เมื่อ นำ บันทึก คำให้การ ดังกล่าว มา ประกอบคำเบิกความ ของ สิบตำรวจโท ครรชิต กับ ร้อยตำรวจเอก สมยศ ที่ ว่า ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน จำเลย ให้การรับสารภาพ แล้ว เชื่อ ว่าจำเลย ได้ ร่วม กับพวก ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย จริง จำเลย จึง ได้ให้การรับสารภาพ เช่นนั้น เมื่อ สิบตำรวจโท ครรชิต กับ ร้อยตำรวจเอก สมยศ ไม่เคย มี เรื่อง โกรธเคือง กับ จำเลย มา ก่อน จึง เชื่อ ว่า ได้ เบิกความ ตาม สัตย์จริง หา ได้ แกล้ง กล่าวหา จำเลย แต่อย่างใด ไม่ ที่ จำเลยกล่าวอ้าง ว่า ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ ทำร้าย จน ทน ไม่ได้ จึง ให้การรับสารภาพนั้น ก็ เป็น การ กล่าวอ้าง ลอย ๆ ไม่มี พยานหลักฐาน อื่น มา สนับสนุนและ ที่ อ้างว่า จาก การ ตรวจ ร่างกาย จำเลย ไม่พบ บาดแผล ที่ เป็น ร่องรอยของ การ ต่อสู้ ของ ผู้เสียหาย ที่ เนื้อตัว ของ จำเลย แสดง ว่า จำเลยไม่ได้ ข่มขืน กระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย นั้น ก็ คง เป็น เพราะ จำเลย ข่มขืนกระทำ ชำเรา ผู้เสียหาย หลังจาก ที่ พวก ของ จำเลย ได้ กระทำ ชำเราผู้เสียหาย แล้ว ผู้เสียหาย จึง ไม่มี เรี่ยวแรง ที่ จะ ต่อสู้ ทำร้ายจำเลย ได้ จึง ไม่มี บาดแผล ปรากฏ ตาม เนื้อตัว ของ จำเลย พยานหลักฐานของ จำเลย จึง รับฟัง หักล้าง พยานหลักฐาน ของ โจทก์ ไม่ได้ ที่ ศาลล่างทั้ง สอง ฟัง ว่า จำเลย กระทำผิด ตาม ฟ้อง นั้น ชอบแล้ว ฎีกา ของ จำเลยฟังไม่ขึ้น "
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ชื่อคู่ความ โจทก์ - พนักงานอัยการจังหวัดพิจิตร จำเลย - พลทหาร วิเชษฐ์ เกิดเกตุ
ชื่อองค์คณะ อธิราช มณีภาค มงคล สระฏัน วุฒิ คราวุฒิ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan